เนติบัณฑิต เก็งเนติ เตรียมสอบ เนติบัณฑิต ภาค1-2 สมัยที่ 74: ตุลาคม 2017

วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คำพิพากษาฎีกาที่ 6245-6246/2555

        คำพิพากษาฎีกาที่ 6245-6246/2555 เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบแล้ว แต่จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดภายในกำหนด 15 วัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยและมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ก็ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดอีก แม้จะเป็นการยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ แต่การที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องขอของโจทก์ ถือว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในทางไม่จำหน่ายคดีและให้ดำเนินคดีต่อไปตามความประสงค์ของโจทก์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาฎีกาที่ 5746/2559

     คำพิพากษาฎีกาที่ 5746/2559 ป.พ.พ.มาตรา 572 วรรคสองบัญญัติให้สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ หมายถึงผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อจะต้องลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อด้วยกันทั้งสองฝ่ายสัญญาเช่าซื้อจึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
      เมื่อขณะคู่สัญญาเช่าซื้อทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อมีกรรมการของบริษัทโจทก์ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อโดยไม่มีการประทับตราสำคัญของบริษัทซึ่งไม่มีผลสมบูรณ์เป็นลายมือชื่อของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้นสัญญาจึงเป็นโมฆะ แม้ต่อมาโจทก์จะได้ยอมรับเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อด้วยการใช้ตราประทับในชื่อใหม่ของโจทก์มาประทับในสัญญาเช่าซื้อก็ไม่อาจถือว่าโจทก์ลงชื่อเป็นคู่สัญญากับจำเลย อันจะทำให้สัญญาเช่าซื้อซึ่งเป็นโมฆะกลับกลายเป็นสัญญาเช่าซื้อที่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายได้ เพราะโมฆะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันได้ตามมาตรา 172 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ
        เมื่อสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะจำเลยย่อมไม่มีเหตุจะยึดถือครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยไม่มีมูลอันจะอ้างตามกฎหมาย จำเลยต้องคืน ทรัพย์สินที่เช่าซื้อดังกล่าวแก่โจทก์ ซึ่งตามมาตรา 172 วรรคสองซึ่งบัญญัติว่าในกรณีที่ต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าในขณะทำสัญญาทั้งโจทก์และจำเลยทราบว่าสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ทำเป็นหนังสือเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ในขณะทำสัญญา โจทก์จึงรับเงินเป็นค่าเช่าซื้อและจำเลยรับทรัพย์ที่เช่าซื้อไว้โดยสุจริต โจทก์จำต้องคืนเงินให้จำเลยเพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืนตามมาตรา 412 และจำเลยจำต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อเพียงตามสภาพที่เป็นอยู่และมิต้องรับผิดชอบในการที่ทรัพย์นั้นสูญหายหรือบุบสลาย แต่เมื่อจำเลยชำระเงินให้โจทก์เพียงบางส่วนไม่คุ้มกับเงินที่โจทก์ลงทุน จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่เหลือเงินที่จะคืนแก่จำเลยในขณะเรียกคืน ส่วนจำเลยต้องคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์

วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สรุปเก็ง เนติ ข้อ3 ละเมิด สมัยที่ 1/70




...

สรุปประเด็น ที่ออกสอบ เก็งแพ่ง เนติ ข้อ2 นิติกรรม-สัญญา หนี้ สมัยที่ 70