เนติบัณฑิต เก็งเนติ เตรียมสอบ เนติบัณฑิต ภาค1-2 สมัยที่ 74: หลักกฎหมาย
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หลักกฎหมาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หลักกฎหมาย แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คดีที่ร้องขอเกี่ยวกับนิติบุคคล (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 เบญจ)

คดีที่ร้องขอเกี่ยวกับนิติบุคคล
 
          มาตรา 4 เบญจ   "คำร้องขอเพิกถอนมติของที่ประชุมหรือที่ประชุมใหญ่ของนิติบุคคล คำร้องขอเลิกนิติบุคคล คำร้องขอตั้งหรือถอนผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล หรือคำร้องขออื่นใดเกี่ยวกับนิติบุคคล ให้เสนอต่อศาลที่นิติบุคคลนั้นมีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในเขตศาล"

คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 จัตวา)

  คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
 
          มาตรา 4 จัตวา   "คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ให้เสนอต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย
          ในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล"
          คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกผู้ร้องอาจยื่นคำร้องต่อศาลหนึ่งศาลใดดังนี้
          (1) ศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย โดยไม่ต้องพิจารณาว่าเจ้ามรดกถึงแก่ความตายในเขตศาลใด และถ้าเจ้ามรดกมีภูมิลำเนาหลายแห่งก็สามารถเลือกยื่นต่อศาลที่มีภูมิลำเนาแห่งใดก็ได้
          (2) กรณีเจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ต้องยื่นต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5912/2539  แม้ผู้ตายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่จังหวัดพิจิตรและผู้ตายถึงแก่ความตายที่จังหวัดพิจิตร แต่ผู้ตายก็ได้อยู่กินเป็นสามีภริยากับผู้ร้องจนมีบุตรด้วยกันถึง 4 คนที่จังหวัดสมุทรปราการ รวมทั้งผู้ตายได้ซื้อที่ดินไว้ที่จังหวัดสมุทรปราการ แสดงว่าผู้ตายมีบ้านที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นสถานที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญอีกแห่งหนึ่งด้วย บ้านที่จังหวัดสมุทรปราการจึงเป็นภูมิลำเนาของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 37 ดังนั้น ผู้ร้องจึงมีสิทธิเสนอคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 จัตวา

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11216/2558   ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกสามราย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกให้เสนอต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย" แต่เจ้ามรดกทั้งสามรายมีภูมิลำเนาต่างท้องที่กัน ตามมาตรา 5 บัญญัติว่า "คำฟ้องหรือคำร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อก็ดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นได้" เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้ามรดกทั้งสามรายมีทรัพย์สินอันเป็นมรดกร่วมกัน ย่อมถือได้ว่าคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสามรายดังกล่าวมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันพอที่จะพิจารณารวมกันได้ ผู้ร้องย่อมมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสามรายต่อศาลชั้นต้นเดียวกัน

คดีที่ภูมิลำเนาจำเลยและมูลคดี มิได้อยู่ในราชอาณาจักร (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ตรี)

  คดีที่ภูมิลำเนาจำเลยและมูลคดี มิได้อยู่ในราชอาณาจักร
 
          มาตรา 4 ตรี   "คำฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ ซึ่งจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาลแพ่งหรือต่อศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
          คำฟ้องตามวรรคหนึ่ง ถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร โจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลก็ได้"

         

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หลักกฎหมาย ฎีกาเด่น คดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ทวิ)

คดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์

          มาตรา 4 ทวิ   "คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล"
          ถ้าเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์แล้ว การยื่นฟ้องก็เป็นไปตามมาตรา 4 ทวิ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นมาตรา 4 คือให้ยื่นฟ้องที่
          (1) ศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล หรือ
          (2) ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
          คดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หมายความว่า คดีที่การใช้สิทธิเรียกร้องที่จะต้องบังคับหรือพิจารณาเกี่ยวด้วยตัวอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เป็นการฟ้องบังคับที่ตัวอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเกี่ยวข้องในการที่จะต้องถูกบังคับตามคำขอนั้นด้วย เช่น ฟ้องบังคับให้โอนที่ดิน ฟ้องบังคับจำนอง ฟ้องขอให้เปิดทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็น ส่วนสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น คือ ทรัพยสิทธิ์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2514   ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เสนอคำฟ้องต่อศาลที่บ้านพิพาทตั้งอยู่ในเขตศาลได้

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2334/2517   คำฟ้องเรียกเงินค่าขายที่ดิน มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดินนั้น จึงไม่ใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใดๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2527   โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินของโจทก์ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ มิใช่ของโจทก์ และจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แม้จำเลยจะมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินเป็นของจำเลย และตามคำฟ้องของโจทก์มิได้มีคำขอที่จะบังคับแก่ที่ดินที่พิพาท แต่การที่จะพิจารณาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ อันเป็นการพิจารณาถึงความเป็นอยู่แห่งอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2532   การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำนองแก่ที่ดินที่จำเลยที่ 2 นำมาจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 นั้น จะต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิบังคับจำนองได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ อันเป็นการพิจารณาถึงสิทธิที่โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำนอง คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดเชียงใหม่ก็ตาม แต่เมื่อที่ดินที่จำนองอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตได้

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4657/2532  คดีฟ้องให้ส่งมอบที่ดินตามสัญญาซื้อขาย เป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ต้องยื่นคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2534  โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืน กับเรียกค่าเสียหายเพราะจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว เป็นการฟ้องให้บังคับตัวจำเลยเป็นหนี้เหนือบุคคลไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพราะไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับเกี่ยวกับตัวทรัพย์ดังกล่าว

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2537   ที่โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 1 ตกลงชดใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวนหนึ่ง และจำเลยที่ 1 นำน.ส.3 ก. และ น.ส.3 มอบให้โจทก์ไว้เพื่อนำออกขายเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันนำ น.ส.3 ก. และ น.ส.3ดังกล่าวไปจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 แล้วยักยอกเงินค่าที่ดินเป็นประโยชน์ส่วนตนนั้น คำฟ้องส่วนนี้มิใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา4 ทวิ แต่เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคลซึ่งต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3530/2542  โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย และขอให้บังคับจำนองแก่ที่ดินของจำเลยด้วย คำฟ้องบังคับจำนองที่ดินเช่นนี้ย่อมเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากจะต้องมีการบังคับคดีแก่ตัวทรัพย์นั้น โจทก์จึงมีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาลได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 4 ทวิ

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10342/2551  การฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองไถ่ถอนจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 737 แม้เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ แต่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 ทวิ โจทก์ผู้รับจำนองจะเลือกฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาก็ได้

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หลักเขตอำนาจศาลในคดีแพ่ง (ป.วิแพ่ง มาตรา 4(1)(2))



หลักทั่วไปใช้ภูมิลำเนาและมูลคดีเป็นที่เสนอคำฟ้อง
          มาตรา 4   "เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น
          (1) คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่
          (2) คำร้องขอ ให้เสนอต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล"
          คำฟ้องต้องยื่นต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล กรณีที่จำเลยมีภูมิลำเนาหลายแห่งหรือมีมูลคดีเกิดขึ้นหลายแห่ง ก็สามารถฟ้องที่ศาลใดศาลหนึ่งที่เกี่ยวข้องก็ได้  ส่วนคำร้องขอ ให้ยื่นต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล หรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ศาลใดศาลหนึ่งก็ได้

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2540  จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนในประเทศไทย มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แม้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยจะทำขึ้นในต่างประเทศ และจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนในต่างประเทศย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลแพ่งอันเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 4 (1)

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4443/2546   คำว่า "มูลคดีเกิด" ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) หมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาของคำฟ้อง โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย ต้นเหตุของคำฟ้องคือเหตุหย่า ส่วนการจดทะเบียนสมรสเป็นต้นเหตุของความเป็นสามีภริยากัน สถานที่จดทะเบียนสมรสจึงมิใช่เป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิด เมื่อโจทก์จำเลยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยได้กระทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา โดยทำร้ายร่างกายโจทก์และขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน อันเป็นเหตุฟ้องหย่า จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงเป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิด

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7788/2546 (ประชุมใหญ่)  ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คำว่า มูลคดี หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า ในทางบัญชีหลังจากจำเลยได้ทำสัญญาและรับบัตรเครดิตไปจากโจทก์จำเลยใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าและบริการหลายครั้งหลายหน ประกอบสำเนาใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิตกรุงไทยเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 ที่ระบุว่า สถานที่รับบัตรเครดิตคือธนาคารกรุงไทย สาขาหนองคาย มิใช่ที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ ดังนั้นการอนุมัติและการออกบัตรเครดิตจึงเป็นเพียงขั้นตอนปฏิบัติระหว่างโจทก์สำนักงานใหญ่กับสาขาหนองคาย เมื่อจำเลยทำสัญญาและรับบัตรเครดิตจากโจทก์สาขาหนองคายอันเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จำเลยจะสามารถนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการจนเป็นเหตุพิพาทซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิและมูลหนี้ตามฟ้อง หากปราศจากเหตุและขั้นตอนสุดท้ายดังกล่าวเสียแล้วโจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือสินเชื่อต่อกัน เช่นนี้ มูลคดีนี้มิได้เกิดในเขตศาลชั้นต้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1864/2548  โจทก์และห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. ทำสัญญาจ้าแรงงานเพื่อว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคาร โดยทำสัญญาและก่อสร้างอาคารดังกล่าวที่จังหวัดเชียงใหม่ และจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ตามมูลหนี้ค่าก่อสร้างเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานถือว่ามูลหนี้ตามเช็คเกิดจากสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิที่ทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง มูลหนี้จึงเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)


          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5477/2550   ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาญาจักรหรือไม่ ตามบทบัญญัติดังกล่าว คำว่า มูลคดี หมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทระบุชื่อ อ. เป็นผู้รับเงินเพื่อคืนเงินที่ อ. ได้ร่วมลงทุนซื้อที่ดินกับจำเลยจำนวน 140,000 บาท ให้แก่ อ. เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนดวันสั่งจ่าย อ. นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน แม้จะถือว่า อ. เป็นผู้เสียหายในขณะที่เช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่า อ. ได้โอนเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ โดยสลักหลังเช็คพิพาทและส่งมอบแก่โจทก์ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงและมีสิทธิเช่นเดียวกับ อ. ในอันที่จะบังคับเอาแก่จำเลยซึ่งมีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 967 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายให้ชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ได้ ความรับผิดของจำเลยเกิดขึ้นเมื่อเช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนั้น สถานที่ที่เช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินย่อมเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดด้วย เมื่อธนาคารตามเช็คที่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ย่อมถือได้ว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นในเขตศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
 
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4513/2542   ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลคดีเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำสั่งว่า ซ.เป็นคนไร้ความสามารถและให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาล ซ.เมื่อปรากฏตามคำร้องขอของผู้ร้องและคำร้องที่ขออนุญาตให้พิจารณาคดีในศาลที่มูลคดีเกิดว่า ซ.เกิดที่กรุงเทพมหานครและมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซ.ป่วยด้วยโรคปัญญาอ่อนมาตั้งแต่กำเนิด ส่งผลให้เป็นบุคคลวิกลจริต อาการวิกลจริตและความบกพร่องทางสมองและสติปัญญาของ ซ.มีอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่สามารถจัดทำการงานของตนเองได้ ดังนี้เมื่อ ซ.อยู่ในประเทศไทย และมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานครเหตุแห่งการวิกลจริตซึ่งเป็นมูลคดีนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง จึงชอบที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจะรับคำร้องขอไว้พิจารณาต่อไป

หลัก ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๕๕

            การจะนำคดีขึ้นสู่ศาลต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในกฎหมายด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ได้กำหนดให้บุคคลที่จะนำคดีขึ้นมาสู่ศาล มี ๒ ประเภท คือ
๑. บุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิ และ
๒. บุคคลที่ต้องใช้สิทธิในทางศาล
 
๑. กรณีที่มีการโต้แย้งสิทธิ – เป็นคดีมีข้อพิพาท หมายถึง กรณีที่บุคคลฝ่ายหนึ่งอ้างสิทธิเหนือบุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งบุคคลฝ่ายหลังปฏิเสธสิทธิของบุคคลฝ่ายแรก หรือกล่าวอ้างสิทธิใหม่ของตน การจะถือว่าโต้แย้งสิทธิได้นั้นไม่จำต้องเป็นการโต้แย้งสิทธิชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นการขัดแย้งกันในประโยชน์ตามกฎหมายที่คู่ความยืนยันว่ามีกฎหมายสารบัญญัติสนับสนุน และไม่จำต้องมีวัตถุที่จับต้องได้ก่อน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๖๕/๒๕๓๙ -  การฟ้องเท็จ แจ้งความเท็จ ไม่เป็นความผิดเพราะการวินิจฉัยเป็นเรื่องที่ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษเอง
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๕๕/๒๔๙๓ – การโต้แย้งสิทธินั้นจะต้องมีอยู่ในขณะนั้น ถ้ามีอยู่ก็ฟ้องได้ แม้ในระหว่างพิจารณา สิทธิของโจทก์จะระงับไปก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เสีย
 
ถ้าตามพฤติการณ์แห่งคดีหรือตามคำฟ้องหรือคำให้การ ปรากฏว่าจำเลยมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสิทธิในการฟ้องยังไม่เกิดขึ้น (มาตรา ๕๕) จึงนำคดีขึ้นฟ้องศาลไม่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๒๓/๒๕๕๑ – แม้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย เพียงแต่โจทก์คิดว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิ ก็เรียกได้ว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้ว โจทก์ก็มีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๗๕๗/๒๕๔๖ – ข และ ค แจ้งต่อเจ้าหน้าที่นายทะเบียนว่า ง เป็นบุตรของตน เจ้าหน้าที่จึงออกสูติบัตรให้ ก ฟ้องว่าตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ข และ ค แจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่นายทะเบียน การแจ้งข้อความเท็จไม่มีข้อความตอนใดพาดพิงถึงโจทก์ จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
 
การจะนำคดีมาสู่ศาล ผู้ถูกโต้แย้งสิทธิจะต้องพิจารณากฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยว่ากำหนดขั้นตอนไว้หรือไม่ ถ้ามีต้องทำการขั้นตอนนั้นก่อน มิฉะนั้นจะไม่มีอำนาจนำคดีมาสู่ศาล เช่น กรณีฟ้องเรียกเงินปันผล แต่ยังไม่ได้ชำระบัญชีกัน (ฎีกา ๓๕๓๐/๒๕๓๗) โจทก์ไม่อุทธรณ์การประเมินก่อนเพิกถอนการประเมิน (ฎีกา ๑๒๖๒/๒๕๒๐)
 
เมื่อมีการโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้น ผู้ถูกโต้แย้งสิทธิมีสิทธิ (ฎีกา ๗๔๘/๒๕๔๗) นำคดีขึ้นสู่ศาลได้โดยเลือกที่จะฟ้องหรือไม่ก็ได้ ถ้าจะฟ้องก็ทำคำฟ้องเสนอต่อศาลชั้นต้น ฟ้องผู้โต้แย้งสิทธิของตนเป็นจำเลยและตนเองก็เป็นโจทก์ เรียกว่า เป็นคดีมีข้อพิพาท โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลในเวลายื่นฟ้องตามทุนทรัพย์
 
การฟ้องศาลต้องเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย หากฟ้องทำให้อีกฝ่ายเสียหายโดยมิชอบด้วยกฎหมายถือเป็นการละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายตามมาตรา ๔๒๐ – ๔๒๑
 
 
๒. เมื่อบุคคลจะใช้สิทธิทางศาล – บุคคลนั้นมีสิทธิอยู่แล้วตามกฎหมายและจำต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ หรือจะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ บุคคลนั้นต้องขออนุญาตหรือให้ศาลแสดงหรือรับรองสิทธิของตนเสียก่อน กรณีนี้จัดเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ผู้ที่จะมาร้องในกรณีนี้ ต้องมีกฎหมายสารบัญญัติสนับสนุนให้ผู้ร้องนั้นร้องขอต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท เช่น การร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก(ฎีกา ๘๖๒-๘๖๔/๒๕๒๕) การร้องขอสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่า (ฎีกา ๑๑๓๒/๒๔๙๕) การร้องขอกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินกรณีครอบครองปรปักษ์(ฎีกา ๑๑๕๐/๒๕๑๗)
                คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๕๙/๒๕๒๗ – การยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ผู้ร้องไม่จำต้องเป็นผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นอยู่ในขณะยื่นคำร้อง แต่ผู้ร้องจะต้องได้สิทธิมาก่อนนั้นเรียบร้อยแล้ว
 
มาตรา ๕๕ มิได้กำหนดให้การใช้สิทธิทางศาลต้องมีกฎหมายกำหนด การขอให้ศาลแสดงสิทธิโดยไม่มีกฎหมายบอกให้ไปใช้สิทธิก็น่าจะทำได้ แต่จะทำให้คดีขึ้นสู่ศาลมากเกินควร เช่น การจะจดทะเบียนรับรองบุตรต้องได้รับความยินยอมจากมารดาและบุตร เมื่อทั้งคู่ถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ร้องไม่อาจกระทำได้โดยวิธีอื่นนอกจากดำเนินการทางศาล ผู้ร้องชอบที่จะใช้สิทธิทางศาลได้ (ฎีกา ๒๔๗๓/๒๕๔๕)
 
การใช้สิทธิทางศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเพราะไม่มีจำเลย ผู้ร้องต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยยื่น “คำร้องขอ” ต่อศาลโดยเสียค่าขึ้นศาลเรื่องละ ๒๐๐ บาท แต่หากมีผู้ร้องคัดค้าน ศาลต้องดำเนินคดีเป็นคดีมีข้อพิพาท โดยถือว่า ผู้ร้องฟ้องผู้คัดค้านเป็นจำเลยและให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นคดีมีข้อพิพาทต่อไป
 
 
๓. สิทธิของบุคคลในการดำเนินคดี – สิทธิที่จะดำเนินคดีทางศาล มีได้แต่เฉพาะบุคคลเท่านั้นซึ่งอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ผู้ที่ไม่ใช่บุคคลจะฟ้องคดีต่อศาลไม่ได้ เว้นแต่กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษว่าถึงไม่ใช่บุคคลก็สามารถฟ้องได้ เช่น กองมรดก ตำแหน่งหน้าที่ราชการ นิติบุคคลนั้นต้องฟ้องในชื่อของนิติบุคคล มิใช่ผู้กระทำการแทนนิติบุคคล (ฎีกา ๗๓๔/๒๕๐๒) สุเหร่าของอิสลามไม่เป็นนิติบุคคล จะฟ้องไม่ได้ (ฎีกา ๖๒๔/๒๔๙๐) แต่มัสยิดอิสลามที่ก่อตั้งขึ้นแล้วถือเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม มีอำนาจตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้
                ๓.๑ ใช้ตำแหน่งราชการดำเนินคดี – หมายถึงคนธรรมดาเพราะเป็นคนจึงมีสิทธิครอบครองสถานภาพนั้นได้ เมื่อเป็นบุคคลจึงฟ้องหรือถูกฟ้องได้ แม้ว่าบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งนั้นได้ย้ายหรือเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว คำฟ้องนั้นก็ยังคงอยู่ สามารถดำเนินคดีกับผู้ที่มาดำรงตำแหน่งแทนที่ต่อไปได้ แต่การฟ้องคดีจะนำตำแหน่งหน้าที่มาฟ้องไม่ได้เสมอไป ต้องมีกฎหมายบัญญัติอำนาจไว้เป็นกรณีพิเศษ
                คำพิพากษาฎีกา ๗๗๒/๒๕๐๓ – แม้ปลัดจะเป็นผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ย่อมเป็นบุคคลที่จะเป็นโจทก์ฟ้องร้องได้ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด
 
รัฐบาลไม่ถือเป็นนิติบุคคล (ฎีกา ๗๒๔/๒๔๙๐) กระทรวงกลาโหมถือเป็นนิติบุคคล แต่กรมข่าวทหาร กรมยุทธการทหาร กรมพระธรรมนูญ ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
 
จังหวัด เทศบาลและองค์กรบริหารส่วนตำบลเป็นนิติบุคคล ส่วนอำเภอไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
กรณีฟ้องผู้ที่ไม่ใช่บุคคล อาจถูกยกฟ้องได้ เพราะถือว่าไม่มีคู่ความที่จะฟ้องหรือถูกฟ้องได้ และคู่ความไม่สามารถทำการโต้แย้งสิทธิได้
                ๓.๒ ผู้ไร้ความสามารถดำเนินคดี – บุคคลผู้ฟ้องคดีหรือดำเนินคดีต้องมีความสามารถในการฟ้องด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่า บุคคลผู้ไม่มีความสามารถจะเป็นโจทก์ไม่ได้ กรณีผู้ไร้ความสามารถฟ้องคดีต่อศาล จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมจะเข้าดำเนินคดีแทนเสียเองก็ได้
                คำพิพากษาฎีกา ๖๒๓/๒๕๑๙ – โจทก์เป็นผู้เยาว์ ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม โจทสามารถฟ้องศาลต่อได้ เพียงแต่การฟ้องนั้นบกพร่องเรื่องความสามารถ สามารถแก้ไขได้ตามมาตรา ๕๖ แต่หากในชั้นฎีกา โจทก์บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่จำต้องแก้ไข
ผู้ไร้ความสามารถ ถ้าศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถและตั้งผู้อนุบาล ตัวความหรือคู่ความฝ่ายตรงข้ามอาจร้องขอให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา ๕๖ ได้
กรณีผู้เสมือนไร้ความสามารถ ผู้พิทักษ์จะเข้าฟ้องหรือดำเนินคดีแทนไม่ได้ ผู้พิทักษ์มีอำนาจเพียงแต่ให้ความยินยอมเท่านั้น ผู้เสมือนไร้ความสามารถต้องทำนิติกรรมหรือดำเนินคดีเอง หากผู้พิทักษ์จะดำเนินคดีต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้เสมือนไร้ความสามารถเสียก่อน
การตั้งผู้แทนเฉพาะคดี ใช้ได้ทั้งผู้เยาว์และคนวิกลจริต หากไม่มีผู้แทนหรือมีผู้แทนแต่ไม่อาจทำหน้าที่ได้ ผู้ไร้ความสามารถก็ต้องยื่นคำร้องต่อศาล ศาลมีอำนาจออกคำสั่งให้อนุญาตหรือให้ความยินยอมตามที่ขอมา หรือตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้ ในกรณีมีผู้แทนโดยชอบธรรม แต่ไม่ให้ความยินยอมหรืออนุญาตหรือไม่เข้าดำเนินคดีแทน ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีไม่ได้ (มาตรา ๕๖ วรรคท้าย) ศาลต้องรอคดีไว้แล้วแจ้งอัยการ หรือญาติของผู้เยาว์ให้ร้องขอถอนอำนาจผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน
กรณีไร้ความสามารถระหว่างดำเนินคดี ศาลอาจสั่งสอบสวนความสามารถหรือคู่ความอีกฝ่ายอาจร้องขอหรือตัวผู้ไร้ความสามารถอาจร้องขอโดยทำเป็นคำร้อง และศาลจะสั่งแก้ไขภายในระยะเวลาอันสมควรที่พิจารณาสั่ง แต่ห้ามพิพากษาจนกว่าจะได้แก้ไขข้อบกพร่องนั้นแล้ว
                คำพิพากษาฎีกา ๘๐๒/๒๔๙๖ , ๓๕๒/๒๔๙๓ , ๑๖๐๘/๒๕๐๙ – หากมีการยื่นหนังสือให้คำอนุญาตหรือให้ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมภายหลังจากยื่นคำฟ้องแล้ว ก็สามารถทำได้ เพราะเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องความสามารถในการดำเนินคดี
กรณีมีผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถและศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณาจนพิพากษาโดยมิได้สั่งแก้ไขข้อบกพร่อง ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งให้แยกคดีที่จำเลยเป็นผู้เยาว์ออกเป็นคดีหนึ่งต่างหากและให้ดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องได้ (ฎีกา ๑๕๒๔/๒๕๐๘)
ตามมาตรา ๕๖ ศาลใช้รวมถึงการบกพร่องในเรื่องความสามารถอื่นๆ

หลักกฎหมาย ฟ้องซ้ำ (มาตรา ๑๔๘)

ฟ้องซ้ำ (มาตรา ๑๔๘)
 
การฟ้องซ้ำมีขึ้นเพื่อมิให้คู่ความคือ เป็นโจทก์และเป็นจำเลยในคดีเดียวกันนำเรื่องที่เคยพิพาทกันนั้นมาฟ้องร้องกันอีกไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ฟ้อง เพราะจะทำให้เสียเวลาแก่คู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและต่อศาลเพราะมีคดีอยู่ในศาลมากมายโดยไม่จำเป็น
                ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับฟ้องซ้ำ มีดังนี้
              ๑ หลักเกณฑ์ฟ้องซ้ำ มีดังนี้
๑.๑ คดีนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว  (มาตรา ๑๔๗) มี ๓ กรณี คือ
                                               ๑.๑.๑ มีกฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุด หรือบัญญัติว่าห้ามอุทธรณ์ฎีกาต่อไป – คำพิพากษาจะถึงที่สุด ตั้งแต่วันที่อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง
                                               ๑.๑.๒ ถ้าคำพิพากษานั้นไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา หรือขอให้พิจารณาคดีใหม่ย่อมถึงที่สุด – คำพิพากษาจะถึงที่สุดเมื่อพ้นระยะเวลาที่จะอุทธรณ์ หรือฎีกา หรือจะมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ หากจะนำมายื่นฟ้องใหม่ จะกลายเป็นฟ้องซ้ำ
                                               ๑.๑.๓ ถ้ามีอุทธรณ์หรือฎีกาหรือีคำขอให้พิจารณาใหม่ – และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา หรือศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีนั้นใหม่ มีคำสั่งจำหน่ายคดี กรณีนี้คดีจะถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ศาลสั่งจำหน่ายคดี
                                ๑.๒ คู่ความทั้งสองเป็นคู่ความรายเดียวกัน – แม้จะเปลี่ยนฐานะเป็นโจทก์จำเลย คือเป็นคู่ความกลับกัน ก็ต้องถือว่าเป็นคู่ความเดิมนั่นเอง แต่หากเป็นกรณีจำเลยร่วมฟ้องจำเลยร่วมอีกคนหนึ่งด้วยกันเอง ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
                คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๐๔๖/๒๕๔๕ – ฟ้องซ้ำเป็นเรื่องที่ห้ามมิให้โจทก์จำเลยซึ่งฟ้องร้องกันและศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วกลับมารื้อร้องฟ้องกันอีก ข้ออ้างของโจทก์คดีนี้เป็นเรื่องรายเดียวกับที่โจทก์และจำเลยถูก ส ฟ้องเป็นจำเลยร่วมกัน ถือว่าไม่เคยฟ้องร้องกันมาก่อน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
                คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๓๒/๒๕๑๐ – คดีแรกจำเลยฟ้องขับไล่บิดาโจทก์กับบริวารออกจากที่พิพาทโดยอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดิน คดีที่สองโจทก์ซึ่งเป็นบริวารของจำเลยกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิดีกว่าโจทก์ในที่ดินพิพาทนั้น ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคู่ความในคดีทั้งสองมิใช่เป็นคู่ความเดียวกัน
                             ๑.๓ รื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน – ศาลต้องวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว หากว่าศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี โจทก์มีสิทธิฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ คดีที่ยังไม่วินิจฉัยชี้ขาด เช่น คำสั่งจำหน่ายคดี คำสั่งไม่รับฟ้อง คำสั่งยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุม เป็นต้น
                คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๒๕/๒๕๑๑ – กรณีศาลวินิจฉัยประเด็นในฟ้องซึ่งไม่มีอำนาจวินิจฉัย เป็นการวินิจฉัยเกินเลยไป ยังไม่ถือว่ามีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นอื่น โจทก์จะนำประเด็นนั้นมาฟ้องอีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
                คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๑๗๓/๒๕๓๕ – ยกฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานเกี่ยวกับอำนาจฟ้องไม่พอรับฟัง ไม่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี หากจะฟ้องใหม่ไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
 
เหตุแห่งการวินิจฉัยต้องเป็นเหตุอย่างเดียวกัน ถ้าคนละเหตุหรือมูลคดีต่างกัน ไม่ต้องห้ามตามมาตรานี้
                คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๐๙๔/๒๕๓๖ – เดิมโจทก์ฟ้องชำระหนี้ตามสัญญากู้แล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ต่อมาโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้เพราะเหตุจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามสัญญา ถือเป็นฟ้องซ้ำ เพราะหนังสือสัญญารับสภาพหนี้เพียงแต่เป็นหลักฐานยืนยันว่าจะชำระหนี้เงินกู้ ไม่ใช่การสร้างหนี้ใหม่ แต่เป็นการทำหลักฐานเพื่อยืนยันว่าจะชำระหนี้เดิมเท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๐๔/๒๔๙๐ – การที่ศาลงดสืบพยาน เพราะโจทก์ขอเลื่อนคดีโดยไม่มีเหตุสมควร จนศาลยกฟ้องโจทก์ โจทก์จะยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่อีกไม่ได้ ถือเป็นฟ้องซ้ำ
                .๒ ข้อยกเว้นที่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
                                ๑.๒.๑ การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล – กระบวนพิจารณาไต่สวนและมีคำสั่งเพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีในการบังคับคดี ซึ่งอาจซ้ำกับการพิจารณาคดีตอนแรก ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
                                ๑.๒.๒ ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราวไว้ให้เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกได้ – เช่น การกำหนดค่าเสียหายเกี่ยวกับละเมิด หรือค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกรณีบิดามารดาหย่าร้างกัน ค่าเลี้ยงชีพ เป็นต้น

                                .๒.๓ ในกรณีที่ศาลยกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ยื่นฟ้องใหม่ – แม้ผลจากการสืบพยานได้ความว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง แต่โจทก์ฟ้องผิดมาตรา หรือขอท้ายฟ้องไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้บังคับตามท้ายฟ้องไม่ได้ ศาลจะพิพากษายกฟ้องไปแต่เพียงอย่างเดียวโดยจะไม่พิพากษาต่อไปว่าตัดสิทธิโจทก์ฟ้องใหม่