เนติบัณฑิต เก็งเนติ เตรียมสอบ เนติบัณฑิต ภาค1-2 สมัยที่ 74: มกราคม 2018

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

สรุปเก็ง ฎีกาห้องบรรยายเนติฯ สัปดาห์ที่ 10 วิแพ่ง ภาค1 อ.สมชัยฯ 23 มค 61 สมัยที่70

สรุปเก็ง ฎีกาห้องบรรยายเนติฯ สัปดาห์ที่ 10 วิแพ่ง ภาค1 อ.สมชัยฯ 23 มค 61 สมัยที่70
 
                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1616/2559 คดีมโนสาเร่ กรณีคดีมีประเด็นว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ หากศาลเห็นว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม กรณีย่อมต้องด้วยบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 191 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในส่วนนั้นให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นก่อน หากโจทก์ไม่ทำการแก้ไขจึงจะถือว่ามีประเด็นเรื่องคำฟ้องเคลือบคลุมที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยต่อไป แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง ถือว่าศาลชั้นต้นใช้ดุจพินิจพิจารณาแล้วว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมต้องถือว่าประเด็นเรื่องคำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ เป็นอันยุติไปตามสภาพที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง จำเลยไม่อาจยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง

                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2296/2538 ผู้ร้องทั้งสามเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของ ช.เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกของ ช. และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นผู้ร้องทั้งสามมีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ได้ผู้ร้องทั้งสามจึงเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเมื่อพิพากษายกฟ้องโจทก์แล้วไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ร้องทั้งสามอีกต่อไปแม้ผู้ร้องทั้งสามมิได้อุทธรณ์แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีคดีของผู้ร้องทั้งสามจึงยังไม่ถึงที่สุดในการพิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นต้องชี้ขาดตัดสินเกี่ยวกับคำร้องสอดของผู้ร้องทั้งสามด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142แต่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยชี้ขาดจึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชอบที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาดังกล่าว โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นทรัพย์มรดกซึ่งโจทก์มีส่วนได้1ส่วนใน5ส่วนการแบ่งที่ดินหากตกลงแบ่งกันไม่ได้ให้เอาที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันระหว่างทายาทตามส่วนอันเป็นการขอให้แบ่งทรัพย์ระหว่างเจ้าของรวมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์มีส่วนได้ในที่ดินมรดก1ส่วนใน5ส่วนและจำเลยไม่ยอมแบ่งที่ดินมรดกให้โจทก์ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาให้แบ่งตามคำขอของโจทก์

                คำพิพากษาฎีกาที่ 6475/2556 (เน้น***) หลังจากศาลจังหวัดสีคิ้ว (ปากช่อง) มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 207 /2553 โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องในคดีดังกล่าว ขอให้ถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก และแต่งตั้งโจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกแทน โดยอ้างว่าจำเลยนำพินัยกรรมฉบับแรก (ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2533) ซึ่งเป็นโมฆะแล้ว เพราะถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลัง มาอ้างต่อศาลเพื่อแต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดก อันมีพฤติกรรมไม่สุจริตและเท่ากับจำเลยสละสิทธิตามพินัยกรรมฉบับหลังสุด (ลงวันที่ 29 เมษายน 2536) และพินัยกรรมทุกฉบับสิ้นผลบังคับเพราะล่วงเลยกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย คำร้องของโจทก์ทั้งสองในคดีดังกล่าวเป็นการเสนอข้อหาต่อศาล จึงถือได้ว่าเป็นคำฟ้อง คำคัดค้านของจำเลยจึงเป็นคำให้การ แม้คดีดังกล่าวจะมีประเด็นข้อพิพาทว่า ใครสมควรเป็นผู้จัดการมรดก แต่การที่ศาลจังหวัดสีคิ้วจะมีคำสั่งถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดกันมรดก หรือแต่งตั้งผู้จัดการมรดกคนใหม่หรือไม่นั้น ศาลในคดีดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2553 ที่ผู้ตายระบุตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกนั้นเป็นโมฆะหรือสิ้นผลบังคับแล้วตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างหรือไม่ คดีนี้ โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยโดยอ้างเหตุทำนองเดียวกันกับคดีดังกล่าวว่า จำเลยใช้พินัยกรรมที่ถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลังแล้วยื่นต่อศาลขอให้แต่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมดังกล่าว ถือว่าจำเลยมีเจตนาไม่สุจริต ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ และให้แบ่งที่ดินมรดกแก่โจทก์ทั้งสอง แม้โจทก์ทั้งสองในคดีนี้จะมีคำขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสองด้วย แต่ศาลชั้นต้นก็จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า พินัยกรรมที่จำเลยอ้างเป็นโมฆะหรือสิ้นผลบังคับแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเช่นเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 207/2553 ของศาลจังหวัดสีคิ้ว เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นด้วยกันและมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยในเรื่องเดียวกับคดีนี้ฟ้องคดีนี้ ฟ้องคดีนี้ของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีดังกล่าว ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)
                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9740/2558 ผู้ร้องสอดเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมาภายหลังฟ้อง และร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่ 3 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) อันเป็นไปเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตน โดยไม่ได้ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (2) เพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น คำขอบังคับของผู้ร้องสอดเป็นการขอให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสอด และห้ามโจทก์กับจำเลยยุ่งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของผู้ร้องสอด เท่ากับเป็นการตั้งประเด็นฟ้องทั้งโจทก์และจำเลย และตาม ป.วิ.พ. มาตรา 58 วรรคหนึ่ง คดีร้องสอดคดีนี้จึงเสมือนหนึ่งว่าผู้ร้องสอดได้ฟ้องโจทก์และจำเลยเป็นคดีใหม่และเป็นอีกคดีหนึ่งแยกกันได้กับคดีเดิม อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องแย้งเข้ามาในคำให้การแก้ร้องสอดได้ ผู้ร้องสอดจะยกข้อต่อสู้ที่เป็นประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีเดิมมาเป็นข้อต่อสู้ของตนในคดีร้องสอดและฟ้องแย้งนี้ไม่ได้
                ขณะทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้จำเลยและผู้ร้องสอดทราบแล้วว่า โจทก์ยื่นคำขออายัดที่ดินเนื่องจากจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับลงวันที่ 23 มกราคม 2555 แต่จำเลยไม่ยอมมาโอนตามสัญญา เจ้าพนักงานที่ดินได้รับคำขออายัดมีกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2555 และโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวในวันที่ 22 พฤษภาคม 2555 จำเลยและผู้ร้องสอดรับทราบและยืนยันให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนโอนขายให้ หากเกิดความเสียหายใดๆ ขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ เข้าเงื่อนไขที่โจทก์ขอเพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 วรรคหนึ่ง แล้ว
                ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่ 3 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) เพื่อขอให้มีคำพิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของผู้ร้องสอด กับห้ามโจทก์และจำเลยยุ่งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของผู้ร้องสอด และที่โจทก์ให้การแก้คำร้องสอดและฟ้องแย้งในคดีร้องสอด ก็เป็นไปเพื่อเพิกถอนนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 อันเป็นการเพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยกับผู้ร้องสอดและการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท ที่มีผลให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของจำเลย แล้วโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตามคำฟ้องอีกทอดหนึ่ง ระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดจึงไม่ใช่พิพาทกันด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือของผู้ร้องสอด คดีร้องสอดและฟ้องแย้งคดีนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท ตามตาราง 1 ค่าธรรมเนียมศาล (ค่าขึ้นศาล) (2) (ก).
                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974/2552 ประเด็นข้อพิพาทในคดีจะต้องพิจารณาจากคำฟ้อง คำให้การ เป็นข้อสำคัญ มิใช่พิจารณาจากข้อเท็จจริงและการนำสืบพยานหลักฐานในชั้นพิจารณา แม้พยานโจทก์จะได้เบิกความถึงว่า มีการเสนอว่าจะให้ค่าทดแทนแก่จำเลยแล้วก็ตาม แต่ในคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้มีการเสนอค่าทดแทนให้แก่จำเลยแต่อย่างใด คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1352 หรือไม่ เมื่อคดีไม่มีประเด็นดังกล่าวเสียแล้ว ศาลจึงไม่อาจพิจารณาพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามฟ้องโจทก์และกำหนดค่าทดแทนเพื่อให้โจทก์ชำระแก่จำเลยได้เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น

                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2553 จำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์จำเลย 40,000 บาท แต่โจทก์กลับนำแบบพิมพ์หนังสือสัญญากูยืมเงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้ในช่องผู้กู้ไปกรอกข้อความเป็นว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 50,000 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย จึงเป็นเอกสารปลอม คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 50,000 บาท ตามฟ้องหรือไม่ไม่มีประเด็นว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ ดังนั้น จำเลยจะนำสืบว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วหาได้ไม่ เป็นการนำสืบนอกประเด็น ส่วนที่จำเลยให้การไว้ตอนหนึ่งว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้วเป็นการให้การประกอบข้ออ้างที่ว่าจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์ 40,000 บาท มิใช่เป็นการให้การในประเด็นที่เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินจำนวน 50,000 บาท ที่โจทก์ยกขึ้นเป็นข้ออ้างในคำฟ้อง การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของจำเลยแล้วเชื่อว่าจำเลยชำระหนี้จำนวนตามฟ้องให้โจทก์แล้ว จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น


            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17094/2555 คำให้การของจำเลยตอนต้นเป็นการกล่าวให้เห็นที่มาของการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทว่าเนื่องมาจากการซื้อจากบุคคลภายนอกโดยมิได้ทำสัญญาซื้อขายกันเพื่อให้เห็นเหตุและเจตนาในการเข้าครอบครอง ส่วนที่ให้การต่อมาว่า จากนั้นจำเลยและครอบครัวจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 40 ปี ก็เพื่อให้เห็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นแล้วโดยการครอบครอง อันเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับโจทก์ คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ถือว่าขัดแย้งกัน หากแต่เป็นการลำดับที่มาของการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่แรกจนได้กรรมสิทธิ์โดยชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงต้องวินิจฉัยตามประเด็นดังกล่าวซึ่งจะต้องพิจารณาข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองแล้วหรือไม่ด้วย เพราะหากจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเสียแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงมิได้วินิจฉัยนอกประเด็น


***ถอดเทปพร้อมเน้นประเด็น* สรุปคำบรรยายเล่ม1-16 ท่องพร้อมสอบ อัพเดทที่ LawSiam.com***

วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561

เก็ง วิแพ่ง เนติ ข้อ4. วิธีพิจารณาวิสามัญฯ สมัยที่ 70

           คำพิพากษาหรือคำสั่งโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และคำพิพากษาหรือ คำสั่งอื่นๆ ของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาในคดีเดียวกันนั้น และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัว ตามมาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม

        คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๓๙๗/๒๕๕๗ มูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่ง ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย ระหว่างการพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง ศาลแพ่งมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ย่อมถือว่าคำพิพากษาในคดีแพ่งเป็นอันเพิกถอนไปในตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๗ ประกอบมาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม โจทก์ไม่อาจนำหนี้ตามคำพิพากษามาเป็นมูลหนี้ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายคงเหลือหนี้อันเป็นมูลฟ้องคดีแพ่งเนื่องมาจากจำเลยผิดสัญญาเช่าที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้ในคดีแพ่งเท่านั้น


        คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๐๙๐/๒๕๕๙ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ต่อศาลอุทธรณ์ ซึ่งหากศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่น คำให้การและมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามอุทธรณ์ของจำเลย ก็จะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านและที่ดิน กับให้จำเลยอำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นอันต้องถูกเพิกถอน ไปทันที ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงเท่ากับเป็นการอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ในตัวด้วย จำเลยซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์จึงมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๙ ทั้งไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศาลที่จะเรียก ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561

เก็งวิแพ่ง เนติ ข้อ9 ฟื้นฟูกิจการ สมัยที่ 70

เก็งวิแพ่ง เนติ ข้อ9. ฟื้นฟูกิจการ สมัยที่ 70
-------------------------

การประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผน

- การจัดการประชุม
        ในการประชุมเจ้าหนี้เพื่อเลือกผู้ทำแผนนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้อง โฆษณากำหนดวัน เวลา และสถานที่ที่จะประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผนในหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายอย่างน้อย ๑ ฉบับ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน และต้องแจ้งไปยังลูกหนี้และเจ้าหนี้ทั้งหลายตามบัญชีรายชื่อที่ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เสนอต่อศาลและเจ้าหนี้อื่นเท่าที่ทราบด้วย (มาตรา ๙๐/๑๘ วรรคหนึ่ง)

- การดำเนินการประชุม
        ในการประชุมเจ้าหนี้เพื่อเลือกผู้ทำแผนนั้น ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นประธาน ในการประชุมและให้มีรายงานการประชุมลงลายมือชื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เก็บไว้เป็นหลักฐาน การที่ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นประธานในที่ประชุมก็เพื่อควบคุมให้การประชุมนั้นได้ดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย
        อย่างไรก็ตาม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ สังกัดกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม มิได้เป็นเจ้าหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะลงคะแนนเสียงอย่างหนึ่งอย่างใด หรือลงคะแนนเสียงเพื่อชี้ขาดไม่ได้ (มาตรา  ๙๐/๑๘ วรรคสอง)

- เจ้าหนี้ที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
        เจ้าหนี้ที่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผนนั้นต้องเป็นเจ้าหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการและลูกหนี้ได้ก่อนิติสัมพันธ์ดังกล่าวนั้นก่อนศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม โดยเจ้าหนี้ได้แสดงความประสงค์จะเข้าประชุมตามแบบพิมพ์ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดและได้แสดงหลักฐานแห่งความเป็นเจ้าหนี้จนเป็นที่พอใจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก่อนวันประชุม
        ในการนี้ เจ้าหนี้อื่นหรือลูกหนี้จะขอตรวจหลักฐานแห่งความเป็นเจ้าหนี้ต่อ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ได้และในการประชุมเจ้าหนี้นั้น เจ้าหนี้จะออกเสียงด้วยตัวเอง หรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นมาออกเสียงแทนก็ได้ (มาตรา ๙๐/๒๒)

- องค์ประชุม
        กฎหมายไม่ได้กำหนดจำนวนหนี้หรือเจ้าหนี้ที่จะเป็นองค์ประชุมไว้ เพราะฉะนั้น จะมีเจ้าหนี้มาประชุมเท่าใดและมีจำนวนหนี้เพียงใดก็ตาม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ก็สามารถดำเนินการประชุมได้ตามกฎหมาย

- การลงคะแนนเสียงของเจ้าหนี้
        ในการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผน ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ถามลูกหนี้และเจ้าหนี้ที่มาประชุมว่าจะคัดค้านการออกเสียงของเจ้าหนี้รายใดหรือไม่ ถ้ามีผู้คัดค้านการออกเสียงของเจ้าหนี้รายใด ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบถามผู้คัดค้าน เจ้าหนี้ผู้ถูกคัดค้านและลูกหนี้เกี่ยวกับเรื่องที่คัดค้านถ้าบุคคลดังกล่าวมาประชุม แล้วมีคำสั่งให้เจ้าหนี้รายนั้นออกเสียงในจำนวนหนี้ได้หรือไม่ เท่าใด
        คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวให้เป็นที่สุด โดยมีผลเฉพาะให้เจ้าหนี้มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมเจ้าหนี้หรือไม่ เท่านั้น แต่ไม่มีผลให้มติเลือกผู้ทำแผนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลเปลี่ยนแปลงไปหรือกระทบถึงสิทธิในการได้รับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ (มาตรา ๙๐/๒๓)

- การเสนอชื่อผู้ทำแผนต่อที่ประชุมเจ้าหนี้
        เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ที่เสนอชื่อผู้ทำแผนต่อที่ประชุมเจ้าหนี้นั้นจะต้องเสนอหนังสือยินยอมของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ทำแผนด้วย (มาตรา ๙๐/๑๗ วรรคท้าย)

- มติที่ประชุม
        มาตรา ๙๐/๑๗ วรรคสอง ในกรณีที่ลูกหนี้มิได้เสนอผู้ทำแผน มติเลือก ผู้ทำแผนต้องเป็นมติของเจ้าหนี้ฝายที่มิจำนวนหนี้ข้างมากฯ ซึ่งได้ออกเสียงลง คะแนนในมตินั้น แต่ในกรณีที่ลูกหนี้เสนอผู้ทำแผนด้วย ให้ผู้ทำแผนที่ลูกหนี้เสนอเป็นผู้ทำแผน เว้นแต่จะมีมติของเจ้าหนี้ฝายที่มีจำนวนหนี้ไม่น้อยกว่าสองในสาม ของจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ซึ่งได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้นกำหนดให้ บุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผน ในการลงมติตามมาตรานี้ให้เจ้าหนี้มีประกันออกเสียงได้ เต็มตามจำนวนหนี้

การรายงานมติที่ประชุมต่อศาล
        เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติแล้ว ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานผลการประชุมเจ้าหนี้ที่พิจารณาเลือกผู้ทำแผนทุกครั้งต่อศาลภายใน ๓ วัน นับแต่วันประชุม เพื่อให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่ง (มาตรา ๙๐/๑๗ วรรคหก) หากที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติเลือกผู้ทำแผนได้ และศาลเห็นชอบด้วย ให้ศาลตั้งบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทำแผน หากศาลไม่เห็นชอบด้วยก็ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเลือกบุคคลหนึ่งบุคคลใดซึ่งเจ้าหนี้หรือลูกหนี้เสนอชื่อเป็นผู้ทำแผน (มาตรา ๙๐/๑๗ วรรคสาม)
        ถ้าที่ประชุมเจ้าหนี้ไม่อาจมีมติเลือกผู้ทำแผนได้ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อเลือกผู้ทำแผนอีกครั้งหนึ่ง เว้นแต่กรณีที่ศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการก็ได้ (มาตรา ๙๐/๑๗ วรรคสี่)


        มาตรา ๙๐/๑๗ วรรคห้า ในการประชุมเจ้าหนี้ในวรรคสามหรือวรรคสี่ ถ้า ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติเลือกผู้ทำแทนได้ให้ศาลตั้งบุคคลด้งกล่าวเป็นผู้ทำแผน เว้นแต่มีเหตุผลอันสมควรที่จะไม่ตั้งบุคคลด้งกล่าวเป็นผู้ทำแผนหรือที่ประชุมเจ้าหนี้ไม่อาจมีมติเลือกผู้ทำแผนได้ ให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ กรณีนี้คดีฟื้นฟูกิจการสิ้นสุดลงด้วยคำสั่งยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561

สรุปฎีกาห้องบรรยายเนติฯ วิแพ่ง ภาค3 สัปดาห์ที่ 8 อ.อรรถนิติ 12 ม.ค. 61 (ภาคปกติ) สมัยที่ 70

สรุปฎีกาห้องบรรยายเนติฯ วิแพ่ง ภาค3 สัปดาห์ที่ 8 อ.อรรถนิติ 12 ม.ค. 61 (ภาคปกติ) สมัยที่ 70

            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6374/2550 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ส่งสำนวนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหนังสือ รับรองคดีถึงที่สุดที่ศาลชั้นต้นได้ออกให้แก่โจทก์นั้นล้วนเป็นคำสั่งที่ศาล ชั้นต้นได้สั่งหลังจากศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี แล้ว คำสั่งทั้งสองประการดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา อีกทั้งมิได้มีกฎหมายใดบัญญัติให้คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด จำเลยจึงอุทธรณ์คำสั่งทั้งสองดังกล่าวได้

                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8377/2553 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ส่งคำร้องของจำเลยที่ 2 ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เป็นคำสั่งก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดี แม้เป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 ก็เป็นคำสั่งในขั้นตอนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลยุติธรรมเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 มิใช่คำสั่งไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามมาตรา 18, 227, 228
                การอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเพียงประการเดียวหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโดยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการอุทธรณ์คำสั่งในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นหรือไม่ก็ตาม นอกจากผู้อุทธรณ์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แล้ว หากอุทธรณ์คำสั่งนั้นมีผลกระทบต่อคำพิพากษาของศาลชั้นต้นผู้อุทธรณ์ก็ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229
                จำเลยที่ 2 อุทธรณ์เฉพาะคำสั่งในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นเพียงประการเดียวโดยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นด้วย แต่อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มีผลกระทบต่อคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยตรง เพราะหากอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็จะอนุญาตให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ย่อมทำให้ศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยต้องรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีผลทำให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นถูกเพิกถอนไปด้วย เท่ากับเป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอยู่ในตัว จำเลยที่ 2 จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229
                ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า บทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้บังคับคดีนี้เป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตรา 2, 30, 272 ขอให้ศาลฎีการอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว และส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน มีลักษณะเลื่อนลอยไม่ชัดแจ้งว่าบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 2, 30, 272 อย่างไรหรือเป็นเพราะเหตุใด เป็นฎีกาที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวและส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน


                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7994/2547 ป.ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ ย. จำเลยผู้มรณะตายในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องและผู้คัดค้านต่างยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ย. จำเลยผู้มรณะโดยต่างคัดค้านซึ่งกันและกันว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีคุณสมบัติไม่ เหมาะสม เมื่อไต่สวนพยานของผู้ร้องเสร็จแล้ว ระหว่างไต่สวนพยานของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนคำร้องของผู้คัดค้าน เนื่องจากเห็นว่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้คัดค้านและสั่งอนุญาตให้ ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะของผู้คัดค้านดังกล่าวย่อมทำให้คดีเกี่ยวกับคำร้องขอเข้าเแทนที่ผู้มรณะของผู้คัดค้านเสร็จไป ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาย่อมอุทธรณ์ได้ทันที เมื่อทนายผู้คัดค้านยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวกับการจำหน่ายคำร้องขอเข้าแทนที่ผู้มรณะของผู้คัดค้านโดยอ้างว่าเป็นการผิดระเบียบและศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเช่นนี้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
                ส่วนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะซึ่งทนายผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมนั้นก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์จนกว่าศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226

                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4057/2540 คำสั่งอันจะถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะคำสั่งที่สั่งก่อนมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีอันเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเท่านั้น แม้ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีอันเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว เมื่อจำเป็นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อมีคำสั่งชี้ขาดตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่อีกคำสั่งในระหว่างการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวก่อนมีคำสั่งชี้ขาดคำขอนั้นย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นเดียวกัน ดังนั้น หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ระหว่างการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยเมื่อวันที่24 มกราคม 2538 จึงเป็นคำสั่งในระหว่างที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ก่อนที่จะมีคำสั่งชี้ขาดอนุญาตให้พิจารณาใหม่หรือไม่จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งวันที่ 31 มกราคม 2538 จำเลยจึงมีเวลาถึง7 วัน ที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าวได้ แต่หาได้โต้แย้งคัดค้านไม่จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2)

                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2516 คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) จำเลยจึงอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งดังกล่าวนี้ได้
                ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะศาลหลงผิดว่าโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณา คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 และถือได้ว่าเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 (วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)


                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2546 คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ว่าประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ไม่ใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว ไม่ใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันและไม่ใช่คำฟ้องเรื่องเดียวกันกับคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลย ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ฟ้องซ้ำ และฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144,173 วรรคสอง (1) และมาตรา 148 นั้น มิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องหรือเฉพาะแต่ประเด็นแห่งคดีบางข้อซึ่งจะอุทธรณ์ได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 วรรคสองมาตรา 227 และมาตรา 228(3) แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาไม่ได้ เพราะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 38 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226


                 ถอดเทปพร้อมเน้นประเด็น สรุปคำบรรยายฯ เก็งพร้อมสอบรายข้อ อัพเดท ที่ LawSiam.com


                

วันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2561

ถอดเทปเนติ พร้อมเน้นประเด็น* วิ.แพ่ง ภาค3 อ.อรรถนิติฯ (ภาคปกติ) ครั้งที่5 เนติ ภาค2/70

ถอดเทป-เน้นประเด็นสำคัญ ที่น่าออกสอบ*  วิ.แพ่ง ภาค3 อ.อรรถนิติฯ  (ภาคปกติ) ครั้งที่5 เนติ ภาค2/70
---------------------------------------------------------
สกัดหลัก คำบรรยายเนติบัณฑิต  แนวคำพิพากษาฎีกา  ที่น่าสนใจ
ข้อ5. วิชา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค3 (ภาคปกติ) ครั้งที่ 5
อ.อรรถนิติ ดิษฐอำนาจวัน ศุกร์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560  สัปดาห์ที่5

---------------------------------------------------------
(จับประเด็น เน้นมาตรา ฎีกาเด่น จากการบรรยาย* ประโยคทองคำ (Key words Law) วลีกฎหมายที่ควรจำ)
รายละเอียดพอสังเขป :-
- ทยอยอัพเดท...สำหรับทบทวนคำบรรยาย อ่านกระชับ เน้นประเด็นจากห้องบรรยาย/หนังสือรวมคำบรรยายเนติฯ
- สกัดหลักกฎหมาย-เจาะประเด็นคำบรรยายเนติบัณฑิต จำแนกออกเป็นเรื่อง/กลุ่ม เพื่อง่ายต่อการสืบค้น ท่องจำ*
- สรุปประเด็นจากคำบรรยายเนติฯ คำพิพากษาฎีกาที่น่าใจ (ติดดาว)  เน้นประเด็นพร้อมสอบ*

ถอดเทป-เน้นประเด็นสำคัญ ที่น่าออกสอบ*  วิ.แพ่ง ภาค3 อ.อรรถนิติฯ  (ภาคปกติ)  เนติ ภาค2/70 ครบทุกคาบ*

การรับรองอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงโดยเข้าใจว่าเป็นข้อกฎหมาย

***การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยมิได้ร้องขอให้มีการรับรองอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงโดยเข้าใจว่าเป็นข้อกฎหมาย และศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อปรากฏว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ก็ไม่เป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ต้องส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์เสียใหม่ เพื่อที่โจทก์จะได้ยื่นคำร้องขอให้รับรองในข้อเท็จจริง (เป็นกรณีโจทก์ผิดหลงเอง)***

คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๐๔๑/๒๕๕๐ โจทก์ซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์มีหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมาย การที่โจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ขึ้นไปเฉยๆ โดยมิได้ร้องขอให้มีการรับรองอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ทั้ง ๆ ที่มีเวลาที่จะดำเนินการแต่โจทก์ก็หาดำเนินการไม่ถึง แม้โจทก์จะอ้างว่าเหตุที่ไม่ดำเนินการเพราะโจทก์เข้าใจว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของโจทก์เอง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของผู้อื่น จึงไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ต้องส่งสำนวนพร้อมอุทธรณ์ไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของโจทก์เสียใหม่


อ้างอิง หนังสือรวมคำบรรยายเนติบัณฑิต 2/70 วิชา กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค3 (อ.อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) เล่มที่6 การบรรยายครั้งที่5

การรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

**กรณีที่กฎหมายอื่นบัญญัติให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ย่อมไม่อาจรับรองหรืออนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔, ๒๓๐ ได้***

คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ๑๗๙-๑๘๐/๒๕๓๗ จำเลยอุทธรณ์ขอให้อธิบดี ผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่มีกฎหมายให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
.
อ้างอิง หนังสือรวมคำบรรยายเนติบัณฑิต 2/70 วิชา กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค3 (อ.อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) เล่มที่6 การบรรยายครั้งที่5

วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

ฎีกาเด่น * รวมคำบรรยายเนติ เล่มที่6 การร้องสอด ตามมาตรา ๕๗ (๒) สมัยที่ 70

              การร้องสอด ตามมาตรา ๕๗ (๒) นี้ ผู้ร้องสอดจะอาศัยสิทธิอย่างอื่น นอกเหนือจากสิทธิที่คู่ความฝ่ายที่ตนเข้าร่วมมีอยู่เดิมไม่ได้ ถ้าเข้ามาในฐานะจำเลยร่วม ก็จะใช้สิทธิในทางที่ขัดกับสิทธิของจำเลยเดิมไม่ได้ ถ้าจำเลยเดิมขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยร่วมก็ไม่มีสิทธิยื่นคำให้การ ถ้าจำเลยเดิมไม่ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยร่วมก็มีสิทธิยื่นคำให้การ

         คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๗๕/๒๕๓๗ (เน้น**) จำเลยร่วมได้รับอนุญาตให้ร้องสอดเข้ามา ตามมาตรา ๕๗ (๒) ยื่นคำให้การต่อศาลก่อนที่จำเลยเดิมจะครบกำหนดยื่นคำให้การ กรณีนี้ ศาลชั้นต้นจะต้องรับคำให้การของผู้ร้องสอด จะสั่งไม่รับโดยอ้างว่า จำเลยร่วมจะใช้สิทธินอกเหนือไปจากสิทธิของจำเลยเดิม หรืออ้างว่าจำเลยร่วมจะใช้สิทธิขัดกับสิทธิของจำเลยเดิมไม่ได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยเดิมยังไม่ยื่นคำให้การ แต่ยังอยู่ในระยะเวลายื่นคำให้การ จะถือว่าคำให้การของจำเลยร่วมขัดกับสิทธิของจำเลยเดิมไม่ได้ ศาลฎีกาให้รับคำให้การของจำเลยร่วม

อ้างอิง หนังสือรวมคำบรรยายเนติบัณฑิต 2/70 วิชา กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค2 (อ.สุวัฒน์ วรรธนะหทัย) เล่มที่6 การบรรยายครั้งที่1

ถอดเทป เนติบัณฑิต พร้อมเน้นประเด็นติดดาว ฎหมายล้มละลาย อ.ชีพ (ครั้งที่ 4) เนติ ภาค2/70

ถอดเทป เนติบัณฑิต พร้อมเน้นประเด็นติดดาว ฎหมายล้มละลาย อ.ชีพ (ครั้งที่ 4) ภาค2/70 

ถอดเทป เนติบัณฑิต กฎหมายล้มละลาย (ฟื้นฟูกิจการ) อ.เอื้อนฯ (ครั้งที่4) เนติ ภาค2/70

 ถอดเทป-พร้อมเน้นประเด็น ที่น่าออกสอบ* 
กฎหมายล้มละลาย (ฟื้นฟูกิจการ) อ.เอื้อนฯ (ครั้งที่4) เนติ ภาค2/70

วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561

วัตถุประสงค์ สภาวะพักการชำระหนี้ กฏหมายล้มละลาย(อ.เอื้อน ขุนแก้ว) เล่มที่6 การบรรยายครั้งที่4 2/70

***กฎหมายกำหนดเรื่องสภาวะพักการชำระหนี้ขึ้นเพื่อรักษาทรัพย์สินของลูกหนี้ ให้คงที่เพื่อจะได้นำทรัพย์สินนั้นไปแบ่งให้กับเจ้าหนี้ทั้งหลายภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ อย่างเป็นธรรม****


        คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๗๓๕/๒๕๔๘ กฎหมายได้กำหนดให้เกิดสภาวะพักการชำระหนี้ขึ้นนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้พิจารณาโดยมีวัตถุประสงค์ ในการสงวนรักษาทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อประโยชน์แก่การรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้มาจัดสรรให้แก่เจ้าหนี้อย่างเป็นธรรมและเป็นไปตามระบบที่กฎหมายกำหนดไว้ภายใต้กรอบของกฎหมายฟื้นฟูกิจการ และให้เวลาผู้ทำแผนสำรวจความบกพร่องของกิจการในการนำไปวางแผนปรับปรุงแก้ไขกิจการของลูกหนี้ให้ดำเนินการต่อไปได้และยังช่วยลดความกดดันทางด้านการเงินให้แก่ลูกหนี้จากการที่ถูกเจ้าหนี้บังคับยึดทรัพย์สิน


อ้างอิง หนังสือรวมคำบรรยาย 2/70 วิชา กฏหมายล้มละลาย(อ.เอื้อน ขุนแก้ว) เล่มที่6 การบรรยายครั้งที่4

คำถาม-ตอบ บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต ภาค2 สมัยที่ 70 เล่มที่ 1- 6

เน้นประเด็น* คำถาม-ตอบ บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต  ภาค2 สมัยที่ 70 เล่มที่6
---------------------------------------------------------------------

 รายละเอียดพอสังเขป :-
- สำหรับทบทวน ถาม-ตอบแนวข้อสอบ คำบรรยายเนติบัณฑิต จากรวมคำบรรยายเนติบัณฑิต
- สกัดหลักกฎหมาย-เจาะประเด็นคำถาม ฎีกาเด่น* จำแนกออกเป็นเรื่อง/กลุ่ม เพื่อง่ายต่อการสืบค้น ท่องจำ*
- สรุปประเด็นถามตอบจากคำบรรยายเนติฯ คำพิพากษาฎีกาที่น่าใจ (ติดดาว) 


เน้นประเด็น* คำถาม-ตอบ บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต  ภาค2 สมัยที่ 70  

โหลดเอกสารประกอบการบรรยายเนติบัณฑิต วิแพ่ง 4 อ.วิวัฒน์ ครั้งที่ 2 สมัยที่ 70



วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2561

ฎีกาเก็ง ถอดเทป ฟื้นฟูกิจการ อ.วิชา 3 มกราคม 2561สัปดาห์ที่ 7 (ภาคปกติ) เตรียมสอบเนติ สมัยที่ 70

ฎีกาเก็ง ถอดเทป ฟื้นฟูกิจการ อ.วิชาฯ สัปดาห์ที่ 7
วันที่ 3 มกราคม 2561 (ภาคปกติ) เตรียมสอบเนติ สมัยที่ 70
.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2548 การที่กฎหมายให้สิทธิเจ้าหนี้ขอหักกลบลบหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้ตามมาตรา 90/33 นั้น เป็นระบบการจัดการทรัพย์สินในอันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ที่จะนำหนี้ที่ตนมีภาระต้องชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้อยู่แล้วในเวลาที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการไปหักกับหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้
มาตรา 90/33 ที่บัญญัติว่า "เจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการเป็นหนี้ลูกหนี้ในเวลาที่มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ" ย่อมหมายถึงในเวลาที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้นั้น ลูกหนี้และเจ้าหนี้ต่างเป็นหนี้ซึ่งกันและกัน มิได้หมายถึงช่วงระยะเวลาที่ลูกหนี้อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการ ฉะนั้น หนี้ที่เจ้าหนี้จะนำมาหักกลบลบหนี้ได้นั้น เจ้าหนี้ต้องเป็นหนี้ลูกหนี้ก่อนศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ เจ้าหนี้จึงนำหนี้ดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องแก่ลูกหนี้ได้
ถ้าเจ้าหนี้เป็นหนี้ลูกหนี้หลังศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ และได้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้ภายหลังศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเช่นกัน เจ้าหนี้และลูกหนี้ย่อมสามารถนำหนี้ที่มีต่อกันมาหักกลบลบหนี้กันได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 341 โดยหากเจ้าหนี้เป็นฝ่ายที่ขอหักกลบลบหนี้แล้วก็ย่อมทำได้โดยการแสดงเจตนาต่อผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนแล้วแต่กรณี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1720/2525 แม้ว่าพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 จะให้สิทธิแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้กับจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้หักกลบลบหนี้กันได้ แต่วิธีหักกลบลบหนี้ก็จะต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 342 โดยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยอายัดเงินที่ผู้ร้องเป็นลูกหนี้จำเลยและให้ส่งเงินนั้นแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์. ผู้ร้องได้ส่งเงินฝากดังกล่าว ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ หนี้เงินฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องเป็นอันระงับลงสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ย่อมสิ้นสุดลง ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอหักกลบลบหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3747/2547 ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ส่วนลูกหนี้มีเงินฝากอยู่กับผู้คัดค้านตามบัญชีเงินฝากรวม 2 บัญชี โดยผู้คัดค้านรับฝากเงินไว้ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ เงินฝากดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านตั้งแต่มีการฝากเงิน ลูกหนี้ผู้ฝากเงินมีสิทธิที่จะถอนเงินฝากไปได้และผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบตามจำนวนที่ขอถอน ถึงเห็นกรณีที่ผู้คัดค้านกับลูกหนี้ต่างเป็นหนี้ซึ่งกันและกันอยู่ในเวลาที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ผู้คัดค้านจึงใช้สิทธินำเงินฝากทั้งสองบัญชีดังกล่าวของลูกหนี้มาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านได้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/33 ภายหลังที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการแต่ก็เป็นช่วงเวลาก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนดังกล่าว ซึ่งเจ้าหนี้ยังไม่ถูกผูกมัดให้ได้รับชำระหนี้ตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ในแผนตามมาตรา 90/60 วรรคหนึ่ง

.
.
ติดตาม ถอดเทป สรุป เก็ง ท่องพร้อมสอบ รายข้อ เนติ ภาค2 ที่ LawSiam.com

วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561

ฎีกาเก็ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภาค 1-2 (ภาคค่ำ) อ.สุรสิทธิ์ แสงโรจนพัฒน์ เนติบัณฑิต สมัยที่ 70

ฎีกาเก็ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภาค 1-2 (ภาคค่ำ) เนติบัณฑิต สมัยที่ 70
 อ.สุรสิทธิ์ แสงโรจนพัฒน์  
----------------------

         คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4778/2543 เมื่อคำร้องขอถอนฟ้องฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2536 ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกาที่ 6319/2541 ว่า ส. ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวเป็นผู้ทำปลอมขึ้นเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การสั่งคำร้องขอศาลชั้นต้นจึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้รับความเสียหายซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดและให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 ของโจทก์พอแปลเจตนารมณ์ของโจทก์ได้ว่า ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไปการยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 มาปรับใช้บังคับได้