บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต ภาค ๑ สมัยที่ ๗๗ (เล่มที่๑)
คําถาม
วางเพลิงเผาโรงเรือนของผู้อื่น มิใช่ของตนเอง จะเป็นความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา
มาตรา ๒๒๐ วรรคสอง อีกบทหนึ่ง นอกจากความผิดตามมาตรา ๒๑๘ (๑) ด้วยหรือไม่
คําตอบ
มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๔๓/๒๕๖๖ จําเลยวางเพลิงเผาโรงเรือนเลขที่
๔๑... ของนางสาว ป. ผู้เสียหายซึ่งเป็นมารดา
จําเลยทําให้เพลิงไหม้โรงเรือนดังกล่าวทั้งหลัง อุปกรณ์เครื่องมือการเกษตร
อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องนอนและตู้เสื้อผ้า
ซึ่งเป็นของผู้เสียหายในโรงเรือนดังกล่าวรวมค่าเสียหายทั้งสิ้น ๒๖๐,๐๐๐ บาท
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยประการแรกว่า
การกระทําของจําเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๐ อีกบทหนึ่ง หรือไม่
เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๐
วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทํา
ให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเอง
จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ...”
บทบัญญัติดังกล่าว หาได้หมายความว่า วัตถุใด ๆ ที่ถูก
กระทําให้เกิดเพลิงไหม้นั้นจะต้องเป็นของผู้กระทําให้เกิดเพลิงไหม้เท่านั้น แต่
หมายความรวมถึงวัตถุใด ๆ ของบุคคลอื่นด้วย ดังนั้น วัตถุใด ๆ
ที่ถูกกระทําให้เกิดเพลิงไหม้ไม่ว่าจะเป็นของผู้อื่นหรือเป็นของผู้กระทําให้เกิดเพลิงไหม้ก็เข้าองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้
การที่จําเลยกระทําให้เกิดเพลิงไหม้นั้น
ทําให้โรงเรือนของผู้เสียหายไหม้หมดทั้งหลัง ย่อมเห็นได้ว่าน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่นตามฟ้อง
เมื่อ วัตถุใด ๆ
ที่จําเลยกระทําให้เกิดเพลิงไหม้เป็นโรงเรือนของผู้เสียหาย การกระทําของจําเลย
จึงเป็นความผิดตามมาตรา ๒๒๐ วรรคสอง อีกบทหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา
๒๑๘ (๑) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตาม มาตรา ๒๒๐ วรรคสอง
อีกบทหนึ่ง เป็นการกระทําอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา ๒๑๘ (๑)
ซึ่งมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๑๘ (๑) จึงชอบแล้ว
คําถาม
จดทะเบียนโอนขายที่ดินโดยมิได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง
บุคคลภายนอกซึ่งรับโอนที่ดินดังกล่าวต่อมาจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและมีอํานาจฟ้องขับไล่บุคคลใด
ๆ ออกจากที่ดิน หรือไม่
คําตอบ
มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๓๖/๒๕๖๖
จําเลยยินยอมจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาท ให้แก่ น. เพื่อเป็นการช่วยเหลือครอบครัว
น. ให้นําที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพักอาศัยไปจํานอง
แก่ธนาคารเพื่อนําเงินมาใช้ในการลงทุน โดยมิได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง การทํานิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมบ้านระหว่างจําเลยกับ
น. เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กัน ระหว่างจําเลยกับ น.
นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมบ้านย่อมตกเป็นโมฆะกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๕๕
โจทก์ทั้งสองรู้เห็นว่าจําเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทกับ
น. โดยจําเลย
เคยเตือนโจทก์ทั้งสองมิให้ทํานิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทพร้อมบ้านซึ่งจําเลยยังพักอาศัย
ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์ทั้งสองกลับทํานิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทจาก น. ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทําการโดยสุจริตซึ่งต้องเสียหายอันเกิดแต่การแสดงเจตนาลวง
โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๕ เมื่อการทําสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทและบ้านระหว่างจําเลยกับ
น. เป็น โมฆะกรรม น.
ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพร้อมบ้าน โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอน ต่อจาก
น. ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
โจทก์ทั้งสองไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพร้อมบ้าน
ไม่มีอํานาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจําเลย
คําถาม
สัญญาจํานองเป็นประกันการกู้ยืมเงินและถือสัญญาจํานองเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน
ระบุว่าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี แต่ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้อัตรา
ร้อยละ ๒ ต่อเดือน ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง ดังนี้
ผู้ให้กู้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาจํานองหรือไม่
คําตอบ
มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๔๓/๒๕๖๖
แม้สัญญาจํานองที่ดินพิพาทระหว่าง อ. กับ โจทก์จะระบุว่าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕
ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถเรียกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๔ ก็ตาม แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจาก อ. ร้อยละ ๒ ต่อเดือน
ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง ซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดฝ่าฝืน
พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ (๑)
มีผลทําให้ข้อตกลงในส่วนของดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ
โจทก์ไม่อาจคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง
แต่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ฟ้องขอบังคับจํานองโดยเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕
ต่อปี ตามที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง
แต่ศาลเห็นว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง
ดอกเบี้ยตามสัญญาจํานองจึงตกเป็นโมฆะ แต่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้
ยังถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์นําคดีมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
โจทก์ยังคงมีสิทธิบังคับจํานองโดยยึดทรัพย์จํานองออกขายทอดตลาดชําระหนี้ต้นเงินที่เหลือ
พร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันผิดนัดได้
หนังสือสัญญาจํานองที่ดินระบุว่า
จํานองเป็นประกันการกู้ยืมเงินและถือสัญญาจํานองเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน
ตกลงนําส่งดอกเบี้ยเดือนละครั้ง โดยไม่ได้กําหนดเวลาชําระหนี้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทินไว้
โจทก์จึงต้องมีหนังสือบอกกล่าวกําหนดเวลาให้จําเลย
ซึ่งเป็นลูกหนี้ชําระหนี้เสียก่อน หากจําเลยไม่ชําระภายในเวลาที่กําหนด
จึงจะถือว่าจําเลยผิดนัด
โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจําเลยให้ชําระหนี้ภายใน
๖๐ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าว จําเลยได้รับหนังสือบอกกล่าววันที่
๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จําเลยชอบที่จะชําระหนี้เพื่อไถ่ถอนจํานองภายในวันที่ ๖ กรกฎาคม
๒๕๖๒ แต่จําเลยไม่ชําระหนี้ภายในกําหนดเวลาดังกล่าวจําเลยย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่
๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันดังกล่าว
คําถาม
หลักฐานการถอนเงินออกไปจากบัญชีแล้วโอนเข้าบัญชีบุคคลอื่น โดยไม่มี ข้อความว่า
ผู้ยืมได้กู้ยืมเงินไปจากผู้ให้กู้ยืม หรือมีข้อความว่าจะใช้คืนให้โดยมีพยานบุคคล
เบิกความประกอบว่าเป็นการกู้ยืมเงินกัน
เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือหรือไม่
คําตอบ
มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คําพิพากษาฎีกาที่ ๔๓๐๖/๒๕๖๕
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น
ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ
จะฟ้องร้อง ให้บังคับคดีหาได้ไม่ นั้น
ในหนังสือดังกล่าวต้องมีข้อความให้รับฟังได้ว่าผู้ยืมได้กู้ยืมเงินไปจากผู้ให้กู้ยืมหรือมีข้อความว่าจะใช้คืนให้อันเป็นสาระสําคัญที่บ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ยืมได้กู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ยืมหรือเป็นหนี้ผู้ให้กู้ยืม
หากไม่มีข้อความดังกล่าวแล้ว
ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหลักฐาน แห่งการกู้ยืมเงินได้ เพราะการที่บุคคลหนึ่งมอบหรือโอนเงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง
ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดจากการกู้ยืมกันเสมอไป
อาจเป็นเรื่องการมอบหรือโอนเงินให้แก่กันด้วยมูลเหตุ อย่างอื่นก็ได้
จากหลักฐานการถอนเงินออกไปจากบัญชีโจทก์แล้วโอนเข้าบัญชีจําเลยนั้น
ไม่มีข้อความใดแสดงให้เห็นว่าเงินที่โจทก์โอนเข้าบัญชีจําเลยเป็นเงินที่จําเลยได้ยืมไปจากโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์แล้วจะใช้คืนให้ในภายหลังแต่อย่างใด
ดังนั้น เอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ
จําเลยผู้ยืมมาแสดง โจทก์ย่อมไม่มีอํานาจฟ้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง
ซึ่งหลักฐานแห่งการกู้ยืมดังกล่าวเป็นเรื่องที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔
และห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคลแทนพยานเอกสารเมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง
ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจเบิกความเพื่อให้ศาลรับฟังว่าการโอนเงินเข้าบัญชี
โจทก์ดังกล่าวเป็นการกู้ยืมเงินกันได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น