ถอดเทป 1/70 อาญา มาตรา 209-287,367-398 (ภาคค่ำ)
อ.เดชา หงส์ทอง 30 พฤษภาคม 2560 สัปดาห์ที่ 2 ครั้งที่2
..............................
อั้งยี่
๑.
เพียงแค่เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมิความ
มุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
๒.
มีบุคคลตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป
๓.
คณะบุคคลดังกล่าวต้องปกปิดวิธีดำเนินการ และมีความมุ่งหมายเพื่อการ อันมิชอบด้วยกฎหมาย (ไม่ได้ระบุว่าเป็นกฎหมายใด)
ซ่องโจร
๒.
แม้ยังมิได้มีการกระทำการตามที่ได้สมคบกันก็ตาม
ก็เป็นความผิดสำเร็จฐานเป็นซ่องโจรตาม มาตรา ๒๑๐ ทันที ทำนองเดียวกับการเป็นอั้งยี่
๑.
เพื่อกระทำต้องเป็นความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติในภาค ๒
แห่งประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น และอัตราโทษจำคุกอย่างสูง ตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ข้อนี้แตกต่างกับการเป็นอั้งยี่ตามมาตรา ๒๐๙
ที่อาจเป็นความผิดตามกฎหมายอื่น
๓.
แม้ยังมิได้มีการกระทำการตามที่ได้สมคบกันก็ตาม
ก็เป็นความผิดสำเร็จฐานเป็นซ่องโจรตาม มาตรา ๒๑๐ ทันที ทำนองเดียวกับการเป็นอั้งยี่
๓.
สมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป
ความผิดฐานเป็นอั้งยี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๗๖/๒๕๔๓
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นขณะจำเลยกระทำความผิดมาเป็นพยานแต่โจทก์มีสิบเอก
อ. ผู้ซึ่งสืบสวนทราบว่า จำเลยเป็นสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายบีอาร์เอ็น พันตำรวจตรี
ส. ผู้จับกุม จ่าสิบโท พ. ผู้ซักถามจำเลยหลังถูกจับและพันตำรวจโท ช.
พนักงานสอบสวนพยานแวดล้อมเข้าเบิกความประกอบเอกสารและภาพถ่ายสอดคล้องเชื่อมโยงกันตั้งแต่ก่อนจับกุมจำเลยที่สิบเอก
อ. สืบทราบว่าจำเลยเป็นสมาชิกของกลุ่มก่อการร้าย บีอาร์เอ็น ที่มีนาย อ.
เป็นหัวหน้า ซึ่งในช่วงปี ๒๕๔๐ นาย อ. กับพวกปะทะกับเจ้าหน้าที่เสียชีวิต
เจ้าหน้าที่ยึดอาวุธปืน วิทยุสื่อสาร
เอกสารเรียกค่าคุ้มครองและภาพถ่ายสมาชิกกลุ่มโจรก่อการร้าย
รวมทั้งภาพถ่ายที่มีภาพจำเลยอยู่ด้วย
จนกระทั่งหลังจำเลยถูกจับกุมได้ให้การรับสารภาพต่อพันตำรวจตรี ส. พันตำรวจโท ช.
กับพันตำรวจตรี ป. ในข้อหาอั้งยี่
ตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การผู้ต้องหาทั้งจำเลยรับต่อพันตำรวจตรี ส.
และจ่าสิบโท พ.
ว่าก่อนถูกจับกุมจำเลยได้เข้าเป็นสมาชิกกองกำลังติดอาวุธโจรก่อการร้ายขบวนการ
บีอาร์เอ็น และมีภาพถ่ายของจำเลยอยู่ในภาพที่พันตำรวจตรี ส. ได้มาก่อนจำเลยถูกจับและได้ลงลายมือไว้ในภาพนั้นด้วย
แม้พันตำรวจตรี ส. กับสิบเอก อ.
จะเบิกความแตกต่างถึงแหล่งที่มาก็มิใช่ข้อสาระสำคัญ
เพราะสาระสำคัญอยู่ที่บุคคลตามภาพถ่ายเป็นจำเลยหรือไม่
ซึ่งในชั้นพิจารณาจำเลยก็รับว่าเป็นบุคคลตามภาพถ่าย เพียงแต่นำสืบปฏิเสธว่า ถูกกลุ่มขบวนการก่อการร้ายขู่บังคับให้เข้าร่วมขบวนการ
มิฉะนั้นจะถ่ายรูปส่งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองและบังคับให้แต่งชุดเดินป่าและถือปืนแล้วถ่ายภาพไว้ซึ่งขัดต่อเหตุผลเพราะหากเป็นการขู่บังคับน่าจะใช้อาวุธข่มขู่จะได้ผลดีกว่า
และที่จำเลยนำสืบว่าได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหลายฉบับ
แต่ไม่ทราบข้อความเนื่องจากอ่านเขียนและพูดภาษาไทยไม่ได้และไม่มีล่ามแปลให้จำเลยฟังนั้น
ในชั้นสอบสวนพันตำรวจโท ช. เบิกความว่าการสอบปากคำจำเลยได้ให้นายดาบตำรวจ ว.
เป็นล่ามแปลและจำเลยได้ให้การไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับวันเวลา
สถานที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่จริงสอดคล้องกับบุคคลและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งเจ้าพนักงานคงไม่สามารถบันทึกขึ้นเองได้
พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบนั้นไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
จำเลยเข้าเป็นสมาชิกกองกำลังติดอาวุธโจรก่อการร้ายขบวนการ
บีอาร์เอ็นกลุ่มนาย อ. มีพฤติการณ์กระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเรียกค่าคุ้มครอง
ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเป็นคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายจึงมีความผิดฐานอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๐๙ วรรคหนึ่ง./ อ้านต่อ แบ่งปัน เพื่อทบทวนการศึกษา คลิกที่นี่ >>> ถอดเทป 1/70 วิชา อาญา มาตรา 209-287,367-398 (ภาคค่ำ) อ.เดชา สมัยที่ 70 30 พ.ค. 60 สัปดาห์ที่ 2 ครั้งที่2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น