เก็งวิแพ่ง เนติ ข้อ1 สมัยที่71
ศาลที่จะยื่นฟ้อง
หรือเสนอคำฟ้อง
บทบัญญัติที่กำหนดว่าจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลใดนั้น
มีตามมาตรา ๓, ๔, ๔ ทวิ, ๔ ตรี, ๔ จัตวา, ๕ เบญจ, ๔ ฉ, ๕, และ ๗ ในการที่จะพิจารณาว่าจะต้องยื่นฟ้องต่อศาล
ตามบทมาตราข้างต้นนั้นมีหลักการทั่วไปที่ควรจะได้ทำความเข้าใจก่อน คือ
ที่จะพิจารณาว่าจะฟ้องคดีต่อศาลใดมีหลักในการพิจารณาในภาพรวมได้ดังนี้คือ
(๑) ศาลที่จำเลยหรือผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขต
(๒) ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขต
(๓)
ศาลที่อสังหาริมทรัพย์ที่ขอบังคับอยู่ในเขต
(๔) ไม่อยู่ในเงื่อนไขข้างต้นต้องฟ้องต่อศาลที่กำหนดเป็นพิเศษ
มาตรา
๓ เพื่อประโยชน์ในการเสนอคำฟ้อง
(๑) ในกรณีที่มูลคดีเกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศยานไทยที่อยู่นอกราช
อาณาจักร ให้ศาลแพ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจ
(๒) ในกรณีที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร
(ก) ถ้าจำเลยเคยมิภูมิลำเนาอยู่ ณ
ที่ใดในราชอาณาจักรภายในกำหนด สองปีก่อนวันที่มิการเสนอคำฟ้อง ให้ถือว่าที่นั้นเป็นภูมิลำเนาของจำเลย
(ข) ถ้าจำเลยประกอบหรือเคยประกอบกิจการทั้งหมดหรือแต่บางส่วนใน
ราชอาณาจักรไม่ว่าโดยตนเองหรือตัวแทน หรือโดยมิบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการนั้นในราชอาณาจักร
ให้ถือว่าสถานที่ที่ใช้หรือเคยใช้ประกอบกิจการหรือติดต่อดังกล่าว
หรือสถานที่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของตัวแทน หรือของผู้ติดต่อในวันที่มีการเสนอคำฟ้องหรือภายในกำหนดสองปีก่อนนั้น
เป็นภูมิลำเนาของจำเลยได้
ความที่บัญญัติไว้ในตอนต้นของมาตรา ๓
ในการที่จะใช้บทบัญญัติใน (๑) หรือ (๒) นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการเสนอคำฟ้องเท่านั้น
จะนำไปใช้ในกรณี อื่นไม่ได้ หมายความว่าเป็นบทบัญญัติที่บัญญัติขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการเสนอคำฟ้อง
หรือการเสนอคดีต่อศาลเท่านั้น จะใช้เป็นภูมิลำเนาในเรื่องอื่นไม่ได้
บทบัญญัติของมาตรา
๓ (๑) มีหลักเกณฑ์สำคัญอยู่ ๓ ประการ
๑.
มูลคดีที่เกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศยานไทย
๒. เรือไทยหรืออากาศยานไทยนั้นอยู่นอกราชอาณาจักร
๓. สามารถที่จะฟ้องคดีต่อศาลแพ่งได้
สกัดหลักกฎหมายที่สำคัญ
๑. การฟ้องคดีเมื่อเกิน ๒ ปี
นับแต่จำเลยย้ายภูมิลำเนาออกไปนอกราชอาณาจักร นั้นก็ดี หรือภายหลังกว่า ๒ ปี
นับแต่จำเลยเลิกประกอบกิจการก็ดี จะใช้หลักเกณฑ์ตาม มาตรา
๓ (๒) ไม่ได้
๒. มาตรา ๓ เป็นการบัญญัติเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการฟ้องคดีไม่ใช่ว่าเมื่อ
มีสิทธิฟ้องตามมาตรา ๓ แล้ว ทำให้หมดสิทธิฟ้องตามมาตราอื่น
คำพิพากษาฎีกาที่
๔๕๘๐/๒๕๔๒*** บทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา ๓ เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลที่ให้โอกาสที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลในกรณีที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรได้
หากจำเลยประกอบหรือเคยประกอบกิจการทั้งหมด หรือ
แต่บางส่วนในราชอาณาจักรทั้งโดยตนเองหรือตัวแทนหรือเพียงแต่จำเลยมีผู้ติดต่อในการประกอบกิจการในราชอาณาจักรเท่านั้น
ก็ถือว่าสถานที่ที่ใช้หรือเคยใช้ประกอบกิจการ หรือ ติดต่อดังกล่าวหรือสถานที่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของตัวแทนหรือของผู้ติดต่อในวันที่มีการเสนอคำฟ้องต่อศาลที่สถานที่ตังกล่าวอยู่ในเขตศาลได้
จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการขนส่งของจำเลยที่ ๑
โดยเป็นผู้ติดต่อในการนำเรือให้ถึงท่าปลายทางและติดต่อนำเรือออกจากท่าปลายทางตลอดจนการติดต่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรือในกิจการขนส่งทางทะเลอันเป็นธุรกิจบริการของจำเลยที่
๒ แม้จำเลยที่ ๒ จะไม่ใช่ผู้ร่วมขนส่งกับจำเลยที่ ๑ แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยที ๒ เป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการขนส่งของจำเลยที่
๑ ในราชอาณาจักร เมื่อปรากฎตามคำฟ้องว่าจำเลยที่
๒ ซึ่งเป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการของจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้
จึงถือว่าภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๒ เป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้อันเป็นศาลที่ถือว่าจำเลยที่ ๑
มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.พ. ๔ (๑) ได้
โจทก์ได้ทำสัญญาประกันภัยทางทะเลกบบริษัทผู้เอาประกันภัย
ซึ่งเป็นผู้รับตราส่งสินค้าที่เอาประกันภัยดังกล่าว เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยดังกล่าวแก่บริษัทผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้รับตราส่งสินค้าที่เอาประกันภัย
โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งมาฟ้องจำเลยที่ ๑ ผู้ขนส่งสินค้าดังกล่าวได้
อ้างอิง : คำบรรยายเนติ เล่มที่ 7 วิชา วิ.แพ่ง ภาค 1 อ.อุดม เฟื่องฟุ้ง สมัยที่71
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น