เนติบัณฑิต เก็งเนติ เตรียมสอบ เนติบัณฑิต ภาค1-2 สมัยที่ 74: ฎีกาห้องบรรยายเนติฯ วิ.แพ่ง ภาค1
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฎีกาห้องบรรยายเนติฯ วิ.แพ่ง ภาค1 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฎีกาห้องบรรยายเนติฯ วิ.แพ่ง ภาค1 แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ฎีกาห้องบรรยายเนติฯ วิ.แพ่ง ภาค1 อ.ศิริชัย ศิริกุล (ภาคปกติ) 29 พ.ย 62 สมัยที่72


ฎีกาห้องบรรยายเนติฯ วิ.แพ่ง ภาค1สมัยที่72
อ.ศิริชัย ศิริกุล (ภาคปกติ) 29 พ.ย 62  
------------------

สรุปย่อคำบรรยายเนติ เน้นประเด็นสำคัญ เก็งฎีกา เก็งมาตรา ขอบเขตสำคัญ ที่น่าออกสอบ



        คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2537 ที่โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 1 ตกลงชดใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวนหนึ่ง และจำเลยที่ 1 นำน.ส.3 ก. และ น.ส.3 มอบให้โจทก์ไว้เพื่อนำออกขายเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันนำ น.ส.3 ก. และ น.ส.3ดังกล่าวไปจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 แล้วยักยอกเงินค่าที่ดินเป็นประโยชน์ส่วนตนนั้น คำฟ้องส่วนนี้มิใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา4 ทวิ แต่เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคลซึ่งต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)

การที่จำเลยที่ 1 มอบเอกสาร น.ส.3 ก. และ น.ส.3ให้แก่โจทก์ดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิหรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินทั้งตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ซึ่งซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้จดทะเบียนรับโอนโดยไม่สุจริตหรือร่วมกระทำการทุจริตกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 จึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55



        คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2101/2557   โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท สหมงคลการยาง จำกัด ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นเงิน 224,390 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 221,861 บาท นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 จนกว่าจะชำระ เสร็จ และค่าฤชาธรรมเนียม แต่จำเลยทั้งสองจดทะเบียนเลิกบริษัท ดังกล่าวและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี โดยไม่ชำระหนี้ของบริษัท ดังกล่าวแก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ไม่อาจบังคับคดีได้ จำเลยทั้งสอง ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 258,330.32 บาท และค่าฤชาธรรมเนียม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 258,330.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 221,861 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และ ให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีแพ่งหมายเลข แดงที่ 5155/2549 แทนโจทก์
         จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็น ส่วนตัวในหนี้ที่บริษัทสหมงคลการยาง จำกัด ค้างชำระตามคำพิพากษา ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 5155/2549 ของศาลชั้นต้น ซึ่งมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่เคยนำความเท็จอันเป็นสาระสำคัญในการจดทะเบียน เลิกบริษัทแจ้งแก่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร บริษัทสหมงคลการยาง จำกัด มีระยะเวลาบัญชีนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ซึ่งเป็นวัดจดทะเบียน เลิกบริษัท ขาดทุนสุทธิ 46,881 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำละเมิด โจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่บรรยายโดยชัดว่าความเท็จอันเป็น สาระสำคัญใดที่จำเลยที่ 1 แจ้งแก่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เป็น เหตุให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทหลงเชื่อและรับจดทะเบียนเสร็จการ ชำระบัญชี โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองผิดในฐานะใด ขอให้ยกฟ้อง
         จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ฟ้อง ให้จำเลยทั้งสองรับผิดเป็นส่วนตัว ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยทั้งสองมี ภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาล แต่จำเลยทั้งสองไม่มีภูมิลำเนาอยู่ใน เขตอำนาจศาลชั้นต้น โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสอง รับผิดเป็นส่วนตัว ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดี แพ่งหมายเลขแดงที่ 5155/2549 ของศาลชั้นต้น ซึ่งมีคำพิพากษา แล้ว และจำเลยทั้งสองเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ชำระบัญชีของ บริษัทสหมงคลการยาง จำกัด เป็นตัวแทนจัดการรวบรวมทรัพย์สินมา ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ ไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของบริษัท ฟ้องโจทก์เคลือบ คลุม ไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่าเหตุใดจำเลยทั้งสองต้องรับผิดเป็นส่วน ตัวและความเท็จที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองแจ้งแก่นายทะเบียนหุ้นส่วน บริษัทกรุงเทพมหานครเป็นอย่างไร ขอให้ยกฟ้อง
         ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 260,044.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 221,861 บาท นับ ถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 ) จนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความรวม 6,000 บาท
         จำเลยที่ 2 ฎีกา
         ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟัง ได้ว่า บริษัทสหมงคลยาง จำกัด เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5155/2549 จำนวน 224,960 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 221,861 บาท นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน  2549 ถึงวันฟ้องคดีนี้ (วันที่ 7 พฤศจิกายน 2551) เป็นเงิน 33,324.73 บาท และ ค่าฤชาธรรมเนียม 1,760 บาท รวมเป็นเงิน 260,044.73 บาท ในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาดังกล่าว บริษัทสหมงคลการยาง จำกัด ได้มีมติให้เลิกบริษัทโดยในการประชุมลงมติดังกล่าวมีจำเลยที่ 1เป็น ประธานที่ประชุม ในการประชุมได้ลงมติแต่งตั้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท โดยให้กระทำการร่วมกันเว้นแต่การ จดทะเบียนเลิกและเสร็จการชำระบัญชีให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อ ต่อมาวันที่ 31 มกราคม 2550 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชี ได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี
         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งสองให้รับผิดต่อโจทก์ฐานะเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทสห มงคลการยาง จำกัด ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ไม่ชำระหนี้แก่ โจทก์อันเป็นการฟ้องในมูลละเมิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 4 (1) บัญญัติว่า คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมี ภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล... ตาม บทกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเลือกฟ้องจำเลยทั้งสองตาม เขตศาลที่จำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดก็ได้ เมื่อข้อ เท็จจริงปรากฏว่าสำนักงานของผู้ชำระบัญชีตั้งแต่อยู่เลขที่ 282-284 ถนนไมตีจิตต์ แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร อันเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้น จึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปว่า จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลย ทั้งสองเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทสหมงคลการยาง จำกัด จำเลยทั้งสองจึงย่อมต้องทราบความเป็นไป การดำเนินการ สถานะของบริษัท ตลอดจนความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ของบริษัทเป็น อย่างดี ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องบริษัทสหมงคลการยาง จำกัด ให้ ชำระราคายางรถยนต์แก่โจทก์ต่อศาลชั้นต้น โดยบรรยายฟ้องว่า ก่อน ฟ้องบริษัทสหมงคลการยาง จำกัด โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการ เป็นหนี้โจทก์จริง หลังจากนั้นได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ว่า เป็นหนี้โจทก์จริง หลังจากนั้นได้ชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วน แล้ว ไม่ชำระอีก เมื่อโจทก์ฟ้องบริษัทสหมงคลการยาง จำกัด ต่อศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองในฐานะกรรมการบริษัทจึงย่อมต้องทราบดีว่าบริษัท สหมงคลการยาง จำกัด มีภาระหนี้สินต่อโจทก์ การที่บริษัทสหมงคล การยาง จำกัด จัดให้มีการประชุมใหญ่ โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นประธาน ในที่ประชุมและที่ประชุมมีมติพิเศษให้เลิกบริษัท และตั้งจำเลยทั้งสอง เป็นผู้ชำระบัญชีจำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่ต้องร่วมกันทำบัญชีงบดุล แสดงความเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ของบริษัทโดยเร็วที่สุดที่เป็นวิสัยจะทำได้ ส่งผู้ตรวจสอบบัญชีรับรองความถูกต้อง และมีหน้าที่ชำระสะสางการ งานของบริษัทให้เสร็จไป กับจัดการใช้หนี้ของบริษัท จำเลยทั้งสอง งานของบริษัทให้เสร็จไป กับจัดกานใช้หนี้ของบริษัท จำเลยทั้งสอง จึงย่อมต้องทราบดีว่าบริษัทสหมงคลการยาง จำกัด เป็นหนี้โจทก์ โดย ไม่จำต้องทราบจากคำบังคับของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด การที่บริษัท รีบเก่งให้มีการประชุมเลิกบริษัทและตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระบัญชี โดยมอบให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนเลิกบริษัทและเสร็จการชำระ บัญชี โดยจำเลยทั้งสองไม่กระทำการตามหน้าที่ในการจัดการใช้หนี้ ของบริษัทต่อโจทก์ แม้มติที่ประชุมใหญ่พิเศษของบริษัทจะมอบ อำนาจให้จำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวไปจดทะเบียนเลิกบริษัทและเสร็จ การชำระบัญชี แต่ก่อนจะเสร็จการชำระบัญชี จำเลยทั้งสองต้องร่วม กันทำหน้าที่ผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 2 จึงย่อมต้องทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนเลิกบริษัทและเสร็จการชำระบัญชี โดยที่จำเลยทั้งสอง ยังไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ในฐานะผู้ชำระบัญชีและทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีจึงต้องร่วมกันผิดชำระหนี้ของ บริษัทสหมงคลการยาง จำกัด ดังกล่าวต่อโจทก์
         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการสุดท้ายว่า ขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลล้มละลาย กลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาด แม้ต่อมาจะมีคำสั่ง ยกเลิกการล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 135 (2) ที่ว่า ลูกหนี้ไม่ควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย จึงต้อง จำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ออกจากสาระบบความ เนื่องจาก พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27 ที่บัญญัติว่า เมื่อ ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัตินี้ แม้จะเป็น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้แล้วนั้น เห็น ว่า การที่คู่ความร่วมคนหนึ่งต้องคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดย่อมเป็น โทษแก่คู่ความร่วมคนนั้น ไม่มีผลไปถึงคู่ความร่วมคนอื่นที่มิได้ต้อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดด้วย กรณีมิใช่เรื่องจะนำประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) มาใช้บังคับได้ จำเลยที่ 1 จะต้อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจริงหรือไม่จึงไม่มีผลต่อคดีของจำเลยที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
         พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทน โจทก์ 7,500 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นชั้นฎีกาให้เป็นพับ





คำพิพากษาฎีกาที่ 6001/2559 (ฎีกาใหม่) โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและเงินค่าใช้จ่ายในการขอออกโฉนดคืนจากจำเลยที่ 1 แม้โจทก์มิได้มีถิ่นที่อยู่หรือภูมิลำเนาในประเทศไทย โจทก์ก็มีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลได้ ตามมาตรา 4 (1) แม้โจทก์เป็นคนต่างด้าวซึ่งหากจะถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในราชอาณาจักรไทยจะต้องได้รับอนุญาตจาก รมต.กระทรวงมหาดไทยเสียก่อน แต่เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเพื่อบังคับให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ เพียงแต่ใช้สิทธิเรียกร้องติดตามเอาคืนซึ่งเงินดังกล่าวเท่านั้น กรณีหาตกอยู่ในบังคับแห่ง ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 86 ไม่


ข้อสังเกต
๑. คดีนี้แม้โจทก์ จะเป็นคนต่างด้าว ซึ่งการที่โจทก์จะถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรได้จะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสียก่อนตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 86 ซึ่งหากโจทก์ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยในลักษณะที่เป็นการซื้อขายที่ดินเสร็จเด็ดขาด สัญญาซื้อขายดังกล่าวถือว่าตกเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150

แต่คดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลย เป็นแต่เพียงสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น สัญญาดังกล่าว จึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้ เพราะภายหลังจากที่โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันแล้ว โจทก์อาจไปดำเนินการเพื่อขออนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้

๒. คดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำ ตามสัญญาจะซื้อขายและเงินค่าใช้จ่ายในการขอออกโฉนดคืน ซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้เป็นการบังคับเอาแก่ตัวที่ดินโดยตรง ดังนั้น จึงมิใช่คำฟ้อง ที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ตามความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4ทวิ แต่ถือเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวด้วยหนี้เหนือบุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในมาตรา4 (1) โดยโจทก์มีสิทธิที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลก็ได้


    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 447/2540 หนังสือที่โจทก์มอบอำนาจให้พ. ฟ้องคดีแทนทำขึ้นที่ประเทศสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านโดยมีกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศดังกล่าวรับรองหนังสือมอบอำนาจไว้แล้วฉะนั้นแม้จะไม่ได้ให้กงสุลสยามเป็นพยานก็ไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวจะไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจอันแท้จริงการยื่นหนังสือมอบอำนาจในกรณีนี้จึงไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา47วรรคสาม การที่สัญญากระทำกันในต่างประเทศจะต้องใช้กฎหมายประเทศใดบังคับหรือไม่อย่างไรหาใช่ข้อที่โจทก์จำเป็นจะต้องบรรยายมาในคำฟ้องด้วยหรือไม่เพราะหากจำต้องใช้กฎหมายต่างประเทศปรับแก่คดีก็เป็นข้อเท็จจริงที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยบรรยายถึงมูลกรณีที่มีการทำสัญญาแล้วจำเลยผิดนัดทั้งมีการแนบสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความมาท้ายคำฟ้องด้วยนั้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วหาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนในประเทศไทยมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานครแม้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยจะทำขึ้นในต่างประเทศและจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าวโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดที่จดทะเบียนในต่างประเทศย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลแพ่งอันเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1)


    คำพิพากษาฎีกาที่ 4146/2560 (ฎีกาใหม่) เดิมจำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลเยาวชนและครอบครัวต่อมาคู่ความได้ตกลงกันตามบันทึกข้อตกลง ภายหลังโจทก์ประสงค์จะขอวีซ่าเพื่อย้ายถิ่นที่อยู่ถาวรไปยังประเทศออสเตรเลีย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยคัดค้าน โจทก์จึงฟ้องจำเลยโดยบรรยายคำฟ้องว่าจำเลยผิดข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นที่ศาลชั้นต้นจึงนำคดีมาฟ้องเป็นคดีนี้ที่ศาลชั้นต้นดังกล่าว ดังนี้ถือว่าสถานที่ที่ทำบันทึกข้อตกลงเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิด ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4 (1)


    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1193/2559 แม้ตามคำฟ้องโจทก์จะระบุภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ที่จังหวัดนครปฐม แต่โจทก์บรรยายคำฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายกันที่อำเภอหาดใหญ่ และโจทก์ได้แนบสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายซึ่งระบุว่ามีการทำสัญญาที่โรงแรมซากุระ แกรนด์วิว หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จึงถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) การที่โจทก์เสนอคำฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว

       และมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2541 วินิจฉัยว่า โจทก์จะถือเอาแห่งใดเป็นภูมิลำเนาของจำเลยยื่นฟ้องก็ได้

    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2523 จำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงรับจำนำและได้รับจำนำหัวเช็คขัดทองคำของโจทก์ซี่งถูกคนร้ายลักไป จำเลยจะถือเอาประโยชน์ตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 มาตรา 4 ได้ ก็ต้องเป็นการรับจำนำสิ่งของเป็นประกันหนี้เงินกู้เป็นปกติธุระแต่ละรายมีจำนวนเงินไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท แต่ปรากฏว่าจำเลยรับจำนำทรัพย์รายนี้ไว้เป็นเงินถึงสี่หมื่นบาท จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 เป็นเรื่องต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของหัวเข็มขัดดังกล่าวย่อมมีสิทธิที่จะติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
   เมื่อจำเลยรับจำนำทรัพย์ไว้มีจำนวนเงินเกินกว่าหนึ่งหมื่นบาท การรับจำนำนั้นก็ไม่อยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 ในจำนวนเงินที่รับจำนำไว้ทั้งสี่หมื่นบาท จะแยกเอาแต่จำนวนเงินหนึ่งหมื่นบาทอันเป็นส่วนหนึ่งของการรับจำนำที่ไม่ได้รับความคุ้มครองแล้วว่าได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 ย่อมไม่ได้

   คำพิพากษาฎีกาที่ 1969/2549 การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งแย้งเข้าบ้านตามที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้

        แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว


        คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 527/2561 (การปรับใช้ ป.วิ.พ. มาตรา 5)  แม้จำเลยที่ 2 มีบ้านพักอาศัยอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีและได้แจ้งย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าวแล้วโดยไม่ปรากฏว่าได้แจ้งย้ายเข้าที่ใด แสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาตาม ป.พ.พ. มาตรา 41 ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท ธ. ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ที่ทำการบริษัทดังกล่าวจึงเป็นสำนักทำการงานที่สำคัญอันเป็นถิ่นที่อยู่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 37 จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาหลายแห่ง โจทก์จึงสามารถฟ้องจำเลยที่ 2 ยังภูมิลำเนาแห่งใดก็ได้ และถึงแม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้มีภูมิลำเนาและมูลคดีไม่ได้เกิดในเขตอำนาจศาลชั้นต้น แต่เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมรับผิดต่อโจทก์และขณะยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้ยังศาลชั้นต้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) ประกอบมาตรา 5



        คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4813/2548 ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษาลงโทษจำคุกผู้ร้อง 2 ปี ผู้ร้องถูกอายัดตัวมาดำเนินคดี และถูกฟ้องคดีอาญาที่ศาลจังหวัดนครปฐมไม่ใช่ผู้ร้องสมัครใจมายึดถิ่นที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญที่จังหวัดนครปฐม ต่อมาได้รับการปล่อยชั่วคราว ไม่ใช่กรณีถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลจังหวัดนครปฐมหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ถือว่าเรือนจำจังหวัดนครปฐมเป็นภูมิลำเนาตามมาตรา 47
        ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดเชียงราย ถูกกล่าวหาว่าไม่มีสัญชาติไทยและถูกดำเนินคดีที่จังหวัดเชียงรายก่อน จึงถือว่ามูลคดีของผู้ร้องเกี่ยวกับการขอพิสูจน์สัญชาติเกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 4 (2) ให้ผู้ร้องเสนอคำร้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดหรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลซึ่งก็คือศาลจังหวัดเชียงราย


        คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6459/2546 เหตุคดีนี้เกิดในเขตศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดอุทัยธานี จำเลยที่ 2 เจ้าของรถยนต์และนายจ้างของจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนจำเลยที่ 3 บริษัทผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 มีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แม้สำนักงานสาขาอุดรธานีของจำเลยที่ 3 จะเป็นสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 3 แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า สำนักงานสาขาอุดรธานีของจำเลยที่ 3 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 อย่างใด คงได้ความเพียงว่าโจทก์ได้ไปติดต่อให้สำนักงานสาขาอุดรธานีชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เท่านั้นซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังเกิดเหตุละเมิดแล้ว กรณียังถือไม่ได้ว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานสาขาอุดรธานีของจำเลยที่ 3 เป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 3 ในส่วนกิจการอันได้กระทำเกี่ยวกับการประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 69 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลชั้นต้น ( ศาลจังหวัดอุดรธานี) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1)



       คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4198/2545 ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยระบุตรงกันว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 20/96 ถนนสุขุมวิท ซอยพร้อมมิตร แขวงคลองตันเหนือ เขตคลองเตยกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้ การที่จำเลยกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดขอนแก่นเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นกล่าวอ้างเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
       โจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจึงได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิและความรับผิดของบริษัทเดิมทั้งหมด โดยผลของกฎหมายตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 185 มิใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 จึงไม่ต้องทำหลักฐานการโอนหนี้เป็นหนังสือแม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการโอนหนี้ระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด กับโจทก์และไม่ได้บอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 306 โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
       จำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดต่อมาจำเลยทำความตกลงกับโจทก์เพื่อเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิต ตกลงให้ใช้บัญชีเดินสะพัดของจำเลยเป็นบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยในการเรียกเก็บเงินตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปด้วย ข้อตกลงและการปฏิบัติต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวเป็นการกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาโดยมีการตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดแต่กิจการในระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค อันเป็นลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด
       โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจดูแลกิจการผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ ฟ้องเรียกเอาเงินที่ออกทดรองไป เมื่อกฎหมายในเรื่องบัญชีเดินสะพัดมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
       โจทก์นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2536 และนำยอดเงินการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดที่โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้มาหักจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2536 เมื่อหักทอนบัญชีกันในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับจำเลยโดยให้จำเลยชำระหนี้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2538 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์2538 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540 ยังไม่พ้นกำหนดสิบปี จึงไม่ขาดอายุความ
       ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยมิได้กล่าวด้วยว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่สั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์เป็นอันเพิกถอนไป เป็นการสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ


       คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2550 โจทก์เสนอคำฟ้องโดยระบุว่าจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ย่อมเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นเข้าใจว่าโจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) ประกอบมาตรา 5 แม้ต่อมาโจทก์จะขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 3 โดยภูมิลำเนาที่ขอแก้ไขใหม่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นก็ตาม ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าขณะโจทก์เสนอคำฟ้องนั้นจำเลยที่ 3 มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 อาจเปลี่ยนภูมิลำเนาภายหลังที่โจทก์เสนอคำฟ้องแล้วก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นคดีก็ยังคงอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาพิพากษาต่อไปได้ เมื่อโจทก์มิได้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ปรากฏแน่ชัด จะอ้างว่าเป็นความบกพร่องของศาลชั้นต้นที่ไม่สั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องและไม่จำหน่ายคดีหาได้ไม่ นอกจากนี้ เมื่อจำเลยที่ 3 ยื่นคำให้การก็ได้ยกเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นต่อสู้ไว้ด้วย คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตอำนาจศาลที่ศาลชั้นต้นจะต้องวินิจฉัยโดยรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ เมื่อรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นขณะโจทก์เสนอคำฟ้อง ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียได้โดยไม่ต้องคำนึ่งว่าโจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นโดยสุจริตหรือไม่ เนื่องจาก ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) และมาตรา 5 มิได้บัญญัติเปิดช่องให้ศาลที่รับคำฟ้องพิจารณาถึงความสุจริตของผู้เสนอคำฟ้อง หากเป็นกรณีที่โจทก์เสนอคำฟ้องผิดเขตอำนาจศาล การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องจึงหาเป็นการไม่ชอบไม่



       คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6437/2541 จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนที่ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนในประเทศไทย ผู้ขายสินค้าพิพาท ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาท โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับสินค้าพิพาทจากผู้ขายสินค้าและบรรทุกสินค้าลงเรือ เมื่อเรือขนสินค้ามาถึงท่าเรือปลายทางจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องติดต่อประสานงานในการนำเรือเจ้าจอดเทียบท่า และติดต่อพิธีการทางศุลกากร ในการติดต่อขอรับสินค้าบริษัท อ.ผู้สั่งซื้อสินค้าจะต้องติดต่อกับจำเลยที่ 2เพื่อชำระค่าระวางบรรทุกสินค้า เมื่อจำเลยที่ 2 รับชำระค่าระวางบรรทุกสินค้าแล้ว จะแจ้งให้จำเลยที่ 4 ออกใบปล่อยสินค้าให้ และใบตราส่งซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ขายสินค้ามีข้อความระบุว่า การปล่อยสินค้าให้ติดต่อจำเลยที่ 2 และมีข้อความระบุอีกว่า ค่าระวางบรรทุกสินค้าให้ชำระที่เมืองท่าปลายทาง แสดงว่า จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เก็บค่าระวางบรรทุกสินค้าสำหรับสินค้าพิพาทแทนจำเลยที่ 1 เช่นนี้ ย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2เป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการของจำเลยที่ 1 ในราชอาณาจักร จึงถือได้ว่าภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ใช้ในการติดต่อดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 3 (2) (ข) ในวันที่มีการออกใบตราส่งฉบับแรกคือวันที่ 28 เมษายน 2534และวันที่มีการส่งมอบและตรวจรับสินค้าพิพาทคือวันที่ 8 มิถุนายน 2534 พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 ยังไม่มีผลใช้บังคับ แต่พระราชบัญญัติดังกล่าวเพิ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 ดังนั้น จึงต้องนำ ป.พ.พ.มาตรา 616ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มูลคดีเกิดขึ้น อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้บังคับ ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 4 วรรคสอง มิใช่ถือเอาวันที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดี และกรณีไม่อาจนำเอา พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาใช้บังคับกับคดีนี้ได้
       จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับสินค้าจากผู้ส่งที่ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อให้เรือ ท.ขนส่งสินค้าดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1เป็นผู้ออกใบตราส่งให้แก่ผู้ส่ง จำเลยที่ 1 จึงมีฐานะเป็นผู้ขนส่งตามบทบัญญัติแห่งป.พ.พ.มาตรา 608 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชอบในการที่สินค้าพิพาทสูญหายไปตาม มาตรา 616
       ในการติดต่อขอรับสินค้าพิพาทบริษัท อ.ผู้สั่งซื้อสินค้าจะต้องติดต่อกับจำเลยที่ 2 และจะต้องชำระค่าระวางบรรทุกสินค้าให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 รับชำระค่าระวางบรรทุกสินค้าแล้ว จะแจ้งไปยังจำเลยที่ 4 ให้ออกใบปล่อยสินค้าให้ และตามใบตราส่ง ซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ส่งสินค้าระบุให้ผู้รับตราส่งติดต่อจำเลยที่ 2 ในการขอรับสินค้า ทั้งตามใบตราส่งที่จำเลยที่ 3 ออกให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานตัวแทนของผู้ส่งสินค้าก็ระบุให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับตราส่งนอกจากนั้น จำเลยที่ 2 ยังมีหน้าที่ติดต่อกับบริษัทเรือเพื่อรับเอกสารการปล่อยสินค้าพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว รับฟังได้ว่าเป็นการดำเนินงานขนส่งสินค้าร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในการสูญหายของสินค้าพิพาทด้วย
สำหรับจำเลยที่ 4 เป็นผู้ทำการขนถ่ายสินค้าที่บรรทุกมากับเรือท. และนำสินค้าดังกล่าวไปมอบให้แก่การท่าเรือสัตหีบ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 4ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมทำการขนส่งสินค้าพิพาทด้วย จำเลยที่ 4จึงต้องร่วมรับผิดในความสูญหายของสินค้าพิพาทดังกล่าว



      หลัก : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 3 เพื่อประโยชน์ในการเสนอคำฟ้อง
      (2)ในกรณีที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในราชอาณาจักร
      (ข) ถ้าจำเลยประกอบหรือเคยประกอบกิจการทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในราชอาณาจักรไม่ว่าโดยตนเองหรือตัวแทน หรือโดยมีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการนั้นในราชอาณาจักร ให้ถือว่าสถานที่ที่ใช้หรือเคยใช้ประกอบกิจการหรือติดต่อดังกล่าว หรือสถานที่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของตัวแทนหรือของผู้ติดต่อในวันที่มีการเสนอคำฟ้องหรือภายในกำหนดสองปีก่อนนั้น เป็นภูมิลำเนาเดิมของจำเลย

      คำถาม จำเลยมอบหมายให้บริษัท จ. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในราชอาณาจักรดำเนินการขอกู้เงินจากสถาบันการเงินในราชอาณาจักร โจทก์จะฟ้องจำเลยในราชอาณาจักรได้หรือไม่?

      คำพิพากษาฎีกาที่ 15126/2557 กรณีที่จะถือว่าถิ่นที่อยู่ของตัวแทนหรือผู้ติดต่อ เป็นภูมิลำเนาเดิมของจำเลยตามมาตรา 3 (2)(ข) จะต้องได้ความว่าผู้นั้นประกอบกิจการของจำเลยทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแทนจำเลย หรือเป็นบุคคลที่เคยติดต่อในการประกอบกิจการของจำเลย ถ้าบุคคลนั้นเพียงแต่เคยติดต่อขอกู้เงินจากสถาบันการเงินในราชอาณาจักรให้แก่จำเลยเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าบุคคลนั้นเป็นตัวแทนในการประกอบกิจการหรือหรือเป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการของจำเลย เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นอกราชอาณาจักรและมูลคดีเกิดนอกราชอาณาจักร โจทก์จึงไม่อาจฟ้องจำเลยต่อศาลโดยอ้างเหตุตาม มาตรา 3 (2)(ข) ได้
 -------------------

แนะนำ :-

         - ดาวน์โหลด* ถอดเทปพร้อมเน้นประเด็น สรุปย่อ ฎีกา5 ดาว เก็งท่องพร้อมสอบรายข้อ เตรียมสอบเนติฯ ภาค 2 อัพเดทที่ ...   https://www.lawsiam.com/?name=thaibar2

       -  ร่วมสนับสนุนเว็บไซต์ ดาวน์โหลด* ถอดเทปเนติ สรุปประเด็น เก็งก่อนสอบ อัพเดทที่....  https://www.lawsiam.com/?file=donate