เนติบัณฑิต เก็งเนติ เตรียมสอบ เนติบัณฑิต ภาค1-2 สมัยปัจจุบัน

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สรุปฎีกา ถอดคำบรรยายเนติฯ* วิ.แพ่ง ภาค1 (อ.อำนาจ พวงชมภู) 21 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70

สรุปฎีกา ถอดคำบรรยายเนติฯ* วิ.แพ่ง ภาค1 (อ.อำนาจ พวงชมภู)
 21 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70
--------------


          คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๖๑/๒๕๓๕ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องนั้นหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือจะสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้น อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์เพียงสั่งว่า “รวม” จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๑ (๑) เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเสร็จไปแล้ว การที่จะเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่อย่างใด เพราะไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เปลี่ยนแปลง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
    ข้อสังเกต มาตรา ๑๓๑ (๑) นี้ใช้ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาด้วย ดังนั้น คดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ถ้ามีการยื่นคำขอต่อศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลชั้นฎีกาก็ต้องมีคำสั่งอนุญาตหรือ ยกคำขอตามมาตรา ๑๓๑ (๑) เช่นกัน


           คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๐๔/๒๕๔๐ เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสาม ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะฟ้องแย้งเข้ามาในคำให้การได้ ถ้าข้ออ้างตามฟ้องแย้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมแล้ว ศาลย่อมจะต้องรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา เมื่อโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๘ แล้ว ย่อมเกิดประเด็นข้อพิพาทที่จะนำไปสู่ประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความแพ้หรือชนะกัน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๑ (๒) และมาตรา ๑๓๓ บัญญัติไว้ ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องแย้งของจำเลยร่วมที่ ๒ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว

            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๓๓/๒๕๔๓ โจทก์ทั้งสิบหกฟ้องจำเลยทั้งสี่เพื่อขอให้ระงับการก่อสร้างและให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน อ้างว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการพัฒนาท่าอากาศยานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การก่อสร้างขยายท่าอากาศยานทำให้เกิดฝุ่นละออง ประชาชนและโจทก์ทั้งสิบหกสูดฝุ่นละอองทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง และมีผลต่อการระบายน้ำในหมู่บ้านทำให้เกิดความเสียหายแก่สุขภาพอนามัยและทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสิบหกดังนี้ กรณีตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสิบหกเป็นเรื่องแหล่งกำเนิดมลพิษที่ก่อให้เกิดหรือแพร่กระจายของมลพิษ ซึ่งหากเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสิบหกได้รับอันตรายแก่ร่างกายสุขภาพอนามัย และเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสิบหกเสียหายด้วยประการใด ๆโจทก์ทั้งสิบหกก็ชอบที่จะฟ้องร้องเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษนั้นให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายเพื่อการนั้น ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๙๖ ได้ หรืออาจเรียกค่าเสียหายหรือค่าทดแทนจากรัฐในกรณีที่ได้รับความเสียหายอันมีสาเหตุมาจากกิจการหรือโครงการที่ริเริ่ม สนับสนุนหรือดำเนินการโดยส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามมาตรา ๖ (๒) หรือหากเป็นกรณีจำเลยทั้งสี่จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อโจทก์ทั้งสิบหกโดยผิดกฎหมายให้โจทก์ทั้งสิบหกเสียหายแก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดีเสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสิบหก โจทก์ทั้งสิบหกก็ชอบที่จะฟ้องร้องผู้ทำละเมิดหรือนายจ้างของผู้ทำละเมิดเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ หรือหากผู้ทำละเมิดทำละเมิดต่อเนื่องกันไม่ยอมหยุดโจทก์ทั้งสิบหกก็ชอบที่จะฟ้องร้องขอให้ศาลสั่งให้ผู้ทำละเมิดหยุดทำละเมิดเสียก็ได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา  ๔๒๐
    การที่โจทก์ทั้งสิบหกฟ้องจำเลยทั้งสี่โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าหากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้วจะมีผลถึงขนาดที่คณะรัฐมนตรีจะไม่อนุมัติการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานจึงยังไม่อาจถือได้ว่ามติคณะรัฐมนตรีไม่ชอบ ยิ่งกว่านั้นโจทก์ทั้งสิบหกได้รับความเสียหายจากการก่อสร้างอันเนื่องมาจากความบกพร่องของผู้ก่อสร้างที่ไม่ป้องกันมลพิษซึ่งความเสียหายดังกล่าวก็มิใช่ผลโดยตรงจากมติคณะรัฐมนตรี โจทก์ทั้งสิบหกย่อมไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานได้
    เมื่อคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสิบหกไม่อาจจะพิพากษาให้ได้ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์ทั้งสิบหกเสียได้ในชั้นตรวจคำฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๑๓๑ (๒) การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องและคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งสิบหกทั้งหมดจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย



ติดตาม ถอดเทป-เน้นประเด็นคำบรรยาย สรุป เก็ง วิแพ่ง วิอาญา ทยอยอัพเดท.. ที่ LawSiam.com


ฎีกาที่ 6969/2555 - ถอดเทป เนติฯ* วิ.อาญา ภาค1-2 (อ.จุลสิงห์ วสันตสิงห์) 20 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70

ฎีกา ถอดเทป เนติฯ* วิ.อาญา ภาค1-2 (อ.จุลสิงห์ วสันตสิงห์)
 20 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70

-----------------
 
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙๖๙/๒๕๕๕ จำเลยพูดหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งต่อโจทก์ร่วมที่ ๑ จนโจทก์ร่วมที่ ๑ หลงเชื่อส่งมอบเงินให้แก่จำเลย แม้เงินบางส่วนเป็นเงินของโจทก์ร่วมที่ ๒ ที่โอนมาให้ในบัญชีของโจทก์ร่วมที่ ๑ เพื่อให้ส่งมอบแก่จำเลย เนื่องจากเมื่อโจทก์ร่วมที่ ๑ หลงเชื่อ ตามคำหลอกลวงของจำเลยแล้วได้เล่าให้โจทก์ร่วมที่ ๒ ฟัง โจทก์ร่วมที่ ๒ หลงเชื่อว่า เป็นความจริงจึงร่วมลงทุนด้วย แต่การพูดหลอกลวงของจำเลยเป็นการพูดเพื่อให้มีผลต่อโจทก์ร่วมที่ ๑ และได้ทรัพย์สินจากโจทก์ร่วมที่ ๑ เท่านั้น จำเลยมิได้หลอกลวง โจทก์ร่วมที่ ๒ หรือเจตนาให้ได้ทรัพย์สินจากโจทก์ร่วมที่ ๒ จึงไม่อาจถือได้ว่าการที่โจทก์ร่วมที่ ๒ รับฟังเรื่องราวจากโจทก์ร่วมที่ ๑ แล้วหลงเชื่อว่าเป็นความจริงและประสงค์ร่วมลงทุนกับโจทก์ร่วมที่ ๑ ด้วย จึงได้โอนเงินผ่านธนาคารเข้าบัญชีโจทก์ร่วม ที่ ๑ เพื่อส่งมอบให้แก่จำเลยเกิดจากการกระทำความผิดทางอาญาของจำเลยต่อโจทก์ร่วมที่ ๑ โจทก์ร่วมที่ ๒ จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย
คดีนี้จำเลยพูดหลอกลวงโจทก์ร่วมที่ ๑ เท่านั้น จำเลยมิได้หลอกลวงโจทก์ร่วม ที่ ๒ หรือเจตนาให้ได้ทรัพย์สินจากโจทก์ร่วมที่ ๒ การที่โจทก์ร่วมที่ ๒ รับฟังเรื่องราว จากโจทก์ร่วมที่ ๑ แล้วหลงเชื่อว่าเป็นความจริงและประสงค์ร่วมลงทุนกับโจทก์ร่วมที่ ๑ ด้วย โดยโอนเงินผ่านธนาคารเข้าบัญชีโจทก์ร่วมที่ ๑ เพื่อส่งมอบให้แก่จำเลยนั้นไม่ได้ เกิดจากการกระทำความผิดทางอาญาของจำเลยต่อโจทก์ร่วมที่ ๒ โจทก์ร่วมที่ ๒ จึงไม่เป็นผู้เสียหายในคดีนี้แต่ในเรื่องทางแพ่งก็ว่ากันไปใครเป็นเจ้าหนี้ใครเป็นลูกหนี้มูลหนี้ มีอยู่ ๕ อย่างก็ว่ากันไป แต่ในทางอาญาต้องรู้สึกสำนึกในการกระทำและเป็นการกระทำที่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา จำเลยไม่ได้หลอกลวงโจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๒ ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาแต่เป็นเจ้าหนี้ในคดีแพ่ง ถ้ามีการร้องทุกข์โดยบุคคลที่ไม่มีสิทธิก็ไม่ใช่การร้องทุกข์ตามกฎหมายอัยการก็ฟ้องไม่ได้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้เพราะว่าการสอบสวนในคดีความผิดต่อส่วนตัวต้องมีการร้องทุกข์ แล้ว อัยการฟ้องคดีไม่ได้ถ้าไม่มีการสอบสวนเพราะอัยการในประเทศไทยเริ่มต้นคดีเองไม่ได้ แต่โดยปกติคดีในประเทศไทยถ้ารัฐดำเนินคดีให้จะเริ่มที่พนักงานสอบสวน แต่ถ้าผู้เสียหาย สามารถฟ้องคดีเองได้ แต่ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน แต่ถ้าเป็นอัยการฟ้องศาลจะไม่ไต่สวนก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2560

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2560 คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกรรม คือ ชิงทรัพย์กรรมหนึ่งแล้วจึงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอีกกรรมหนึ่ง โจทก์หาได้บรรยายคำฟ้องว่า จำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจไม่ คำฟ้องของโจทก์เพียงแต่บรรยายว่าจำเลยชิงทรัพย์ของผู้เสียหายโดยมีอาวุธ อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง เท่านั้น จึงลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบมาตรา 340 ตรี และวางโทษตามมาตราดังกล่าว จึงยังไม่ถูกต้อง และปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

เจ้าของที่ดินที่แท้จริง กับ บุคคลภายนอกที่รับจำนองโดยสุจริต ใครมีสิทธิดีกว่ากัน ?

         คำถาม เจ้าของที่ดินที่แท้จริง กับ บุคคลภายนอกที่รับจำนองโดยสุจริต ใครมีสิทธิดีกว่ากัน ?
       คำตอบ แยกการพิจารณาศึกษาดังต่อไปนี้
       1. หนังสือมอบอำนาจที่มีการปลอมลายมือชื่อเจ้าของที่ดินลงในหนังสือมอบอำนาจ แม้ผู้รับจำนองจะสุจริตถือว่าเป็นการรับจำนองจากผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน การจำนองไม่ผูกพันเจ้าของ เจ้าของที่ดินมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนได้ ฎ.3444/2559,5927/2548 
       ข้อสังเกต  เรื่องนี้ศาลฎีกาให้ผลแก่คดีแรง กล่าวคือนิติกรรมจำนองไม่ผูกพันเจ้าของที่แท้จริงเลยทีเดียว เพราะเหตุผลที่ว่าการปลอมลายมือชื่อเป็นการกระทำความผิดอาญาตาม ปอ.มาตรา 264. วรรคสอง จึงไม่มีความชอบธรรมใดๆที่กฎหมายจะรับรองคุ้มครองให้ แม้ผู้รับจำนองจะสุจริตก็ตาม
       2. กรณีมีการลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือมอบอำนาจโดยที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จริงอยู่เเม้การกรอกข้อความจะเป็นการกรอกที่ฝ่าฝืนความประสงค์ของเจ้าของที่ดินซึ่งถือว่าเป็นการปลอมเอกสาร ตาม ปอ.มาตรา 264 วรรคแรกก็ตาม แต่ขณะเดียวกันกฎหมายก็ต้องคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริตด้วย ด้วยเหตุนี้ศาลฎีกาจึงผ่อนปรนและออกหลักว่าหากบุคคลภายนอกผู้รับจำนองโดยสุจริตแล้ว เจ้าของที่ดินไม่อาจฟ้องเพิกถอนสัญญาจำนองได้ ทั้งนี้เป็นไปตามหลักที่ว่าสุจริตด้วยกันผู้ประมาทเลินเล่อย่อมเป็นผู้เสียเปรียบ ฎีกากลุ่มนี้เช่นฎ.3009/2552,14285/2556,7906/2544
      3. เจ้าของที่ดินยินยอมให้ผู้อื่นมีชื่อในโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แทนต่อมาผู้มีชื่อแทนนำที่ดินไปจำนอง กรณีเช่นนี้ทำให้ผู้รับจำนองเข้าใจว่าผู้มีชื่อแทนเป็นเจ้าของที่แท้จริง จึงต้องคุ้มครองผู้รับจำนองโดยสุจริต และต้องถือว่าเจ้าของที่ดินที่แท้จริงเป็นตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อ ฎ.2026/2557
        4. เจ้าของที่ดินที่แท้จริงมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านให้ไว้ เมื่อมีการปลอมลายมือชื่อเจ้าของที่ดินมอบอำนาจให้ไปจำนอง กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเจ้าของที่ดินประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง สัญญาจำนองไม่ผูกพันเจ้าของที่แท้จริง แม้ผู้รับจำนองจะสุจริตก็ตาม ฎ.14492/2556
  5. เจ้าของที่ดินต้องการนำที่ดินไปจำนอง จึงลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ ต่อมามีการกรอกข้อความแล้วให้นำไปขายโดยเจ้าของไม่ยินยอม หลังจากนั้นก็มีการทำสัญญาขาย(ไม่ใช่จำนอง)ให้แก่บุคคลภายนอกผู้สุจริต กรณีเช่นนี้ศาลฎีกาพิพากษาให้คืนที่ดินแก่เจ้าของที่แท้จริงไม่ว่าผู้ซื้อจะซื้อโดยสุจริตหรือไม่ ฎ.12058/2558

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ผู้เสียหายความผิดฐานพรากผู้เยาว์ - เจาะฎีกา ถอดคำบรรยายเนติฯ* วิ.อาญา ภาค1-2 (อ.จุลสิงห์ วสันตสิงห์) วันที่่ 20 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70

 เจาะฎีกา ถอดคำบรรยายเนติฯ* วิ.อาญา ภาค1-2 (อ.จุลสิงห์ วสันตสิงห์) 
วันที่่ 20 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70
--------------------

ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ 

        กฎหมายมุ่งคุ้มครองใคร ผู้ที่มีอำนาจปกครองใครก็มีสิทธิในความปกครอง ผู้นั้นเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ผู้เยาว์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ แต่เป็นความผิดที่ทำต่อบิดามารดาหรือผู้ปกครอง

    คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๙๘๙/๒๕๔๘ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๙ หมายความว่า ผู้กระทำความผิดได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของบิดามารดาหรือต่อผู้ปกครองหรือต่อผู้ดูแลของผู้เยาว์ คดีนี้บิดาของผู้เสียหาย มิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาผู้เสียหายจึงมิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่บิดาและมารดาของผู้เสียหายได้เลิกร้างกันมานานถึง ๑๗ ปี โดยผู้เสียหายอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามาตลอด บิดาของผู้เสียหายจึงเป็นผู้ปกครองผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากผู้ปกครอง

ฎีกาที่ 1949/2542 - ถอดเทป เนติฯ* วิ.อาญา ภาค1-2 (อ.จุลสิงห์ วสันตสิงห์) 20 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70

ฎีกา ถอดเทป เนติฯ* วิ.อาญา ภาค1-2 (อ.จุลสิงห์ วสันตสิงห์)
 20 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2542 ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตายและความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ พ.เจ้าของรถยนต์ไม่ใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตาย และข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย พ. เจ้าของรถยนต์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาและถือไม่ได้ว่า พนักงานอัยการฟ้องคดีแทน พ.แม้พ. จะเป็นโจทก์ ฟ้องคดีเองก็ไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตาม ความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 ในอันที่จะนำอายุความในทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองต้องใช้อายุความ 1 ปี เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยรถยนต์จาก พ.ได้ซ่อมรถยนต์ให้พ. ผู้เอาประกันภัยแล้วจึงชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่ พ. มีอยู่ในมูลหนี้ต่อ จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 226 วรรคหนึ่ง เมื่อสิทธิของ พ.ที่จะฟ้องคดีนี้มีกำหนดอายุความ 1 ปี โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิ ของ พ.จึงย่อมมีอายุความ 1 ปีเช่นกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองมีความหมายว่าในกรณีเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิด และการกระทำละเมิดนั้นเป็นความผิดอาญาด้วยดังนั้น ผู้ที่ถูกกระทำละเมิดที่จะได้รับประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงต้องเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2560

       คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2560 คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยปลูกบ้านรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 52927 ของโจทก์ และขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งอ้างการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาท ของโจทก์ที่โจทก์เพิ่งซื้อมาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2554 โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นบุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินมาโดเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยอย่างไรและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ดังนั้น ประเด็นที่ว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหรือไม่ จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ว่าจำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ด้วย โดยโจทก์ไม่จำต้องโต้แย้งคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าวอีก เพราะถือว่าเป็นประเด็นเดียวกันกับที่โจทก์ได้ให้การแก้ฟ้องแย้งไว้

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ฎีกา ป.วิ.พ. มาตรา 146 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2560)

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2560 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาคดีในส่วนอาญาว่า จำเลยกระทำความผิดโดยปลอมแปลงเอกสารสัญญากู้เงินและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว แล้วโจทก์ทั้งสองมาฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารสัญญากู้เงินปลอม อันเป็นสัญญากู้เงินฉบับเดียวกัน ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามผลการกระทำความผิดอาญาดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ย่อมต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ว่า จำเลยได้ปลอมเอกสารสัญญากู้เงินและนำเอกสารปลอมดังกล่าวไปฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1000/2545 ของศาลชั้นต้น แม้คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1000/2545 ของศาลชั้นต้น จะพิพากษาว่าจำเลยมิได้ปลอมและใช้เอกสารสัญญากู้เงินปลอม และคดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งแตกต่างกับคำวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้ ก็ถือว่าเป็นกรณีที่มีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดของสองศาลซึ่งต่างชั้นกัน ต่างกล่าวถึงการปฏิบัติชำระหนี้อันแบ่งแยกจากกันไม่ได้ จำต้องถือตามผลคำพิพากษาคดีนี้ ซึ่งเป็นคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 146 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยปลอมเอกสารสัญญากู้เงินและใช้เอกสารปลอมดังกล่าวฟ้องโจทก์ทั้งสองตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1000/2545 ของศาลชั้นต้น

คดีที่ร้องขอเกี่ยวกับนิติบุคคล (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 เบญจ)

คดีที่ร้องขอเกี่ยวกับนิติบุคคล
 
          มาตรา 4 เบญจ   "คำร้องขอเพิกถอนมติของที่ประชุมหรือที่ประชุมใหญ่ของนิติบุคคล คำร้องขอเลิกนิติบุคคล คำร้องขอตั้งหรือถอนผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล หรือคำร้องขออื่นใดเกี่ยวกับนิติบุคคล ให้เสนอต่อศาลที่นิติบุคคลนั้นมีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในเขตศาล"

คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 จัตวา)

  คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
 
          มาตรา 4 จัตวา   "คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ให้เสนอต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย
          ในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล"
          คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกผู้ร้องอาจยื่นคำร้องต่อศาลหนึ่งศาลใดดังนี้
          (1) ศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย โดยไม่ต้องพิจารณาว่าเจ้ามรดกถึงแก่ความตายในเขตศาลใด และถ้าเจ้ามรดกมีภูมิลำเนาหลายแห่งก็สามารถเลือกยื่นต่อศาลที่มีภูมิลำเนาแห่งใดก็ได้
          (2) กรณีเจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ต้องยื่นต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5912/2539  แม้ผู้ตายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่จังหวัดพิจิตรและผู้ตายถึงแก่ความตายที่จังหวัดพิจิตร แต่ผู้ตายก็ได้อยู่กินเป็นสามีภริยากับผู้ร้องจนมีบุตรด้วยกันถึง 4 คนที่จังหวัดสมุทรปราการ รวมทั้งผู้ตายได้ซื้อที่ดินไว้ที่จังหวัดสมุทรปราการ แสดงว่าผู้ตายมีบ้านที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นสถานที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญอีกแห่งหนึ่งด้วย บ้านที่จังหวัดสมุทรปราการจึงเป็นภูมิลำเนาของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 37 ดังนั้น ผู้ร้องจึงมีสิทธิเสนอคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 จัตวา

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11216/2558   ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกสามราย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 จัตวา วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกให้เสนอต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย" แต่เจ้ามรดกทั้งสามรายมีภูมิลำเนาต่างท้องที่กัน ตามมาตรา 5 บัญญัติว่า "คำฟ้องหรือคำร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อก็ดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นได้" เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้ามรดกทั้งสามรายมีทรัพย์สินอันเป็นมรดกร่วมกัน ย่อมถือได้ว่าคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสามรายดังกล่าวมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันพอที่จะพิจารณารวมกันได้ ผู้ร้องย่อมมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสามรายต่อศาลชั้นต้นเดียวกัน