ฎีกาเนติฯ วิแพ่ง ภาค1 ภาคค่ำ อ.ศิริชัยฯ
วันเสาร์ ที่ 25 พย 60 สมัยที่70
-------------------------
ป.วิ.พ.มาตรา
๔ (๑)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๖๔/๒๕๔๒
บันทึกในทางทะเบียนการหย่าตามฟ้องทำที่ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ
จังหวัดสมุทรปราการ
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ทำหน้าที่ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองจึงถือว่า
เป็นกรณีที่อ้างว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาหรือข้อตกลงในการจดทะเบียนหย่านั้น
แม้จำเลยและบุตรทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ก็ตาม
ก็ถือว่าสถานที่ที่ได้มีการจดทะเบียนการหย่าเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้นในท้องที่ที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงในทะเบียนการหย่าไว้นั้น
จึงถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ
แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๔
(๑)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องโจทก์แล้ว
ต่อมามีคำสั่งใหม่เป็นว่าไม่รับคำฟ้องและให้จำหน่ายคดี
เมื่อศาลสูงเห็นว่าไม่ถูกต้อง ย่อมพิพากษากลับเป็นให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์แล้วให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อจากกระบวนพิจารณาที่ได้ทำไว้ก่อนวันมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๑๕๕/๒๕๔๐ จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์อันเป็นการ
ได้มาโดยความยินยอมในกรณีหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๒๐ และมาตรา ๑๕๖๖(๑) เป็นการได้อำนาจปกครองมาโดยข้อสัญญา
การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ของจำเลย
โดยอ้างเหตุแห่งการฟ้องร้องว่าจำเลยปล่อยปละละเลยไม่ทำหน้าที่ของผู้ใช้อำนาจปกครองจึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาหรือข้อตกลงในการจดทะเบียนหย่า
ดังนั้น
สถานที่ที่ได้มีการจดทะเบียนหย่าและทำบันทึกข้อตกลงในเรื่องการใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ของจำเลย
จึงถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล
โจทก์และจำเลยได้จดทะเบียนการหย่าและทำบันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนการหย่าที่สำนักงานเขตดุสิต*
กรุงเทพมหานครจึงต้องถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร
และเมื่อศาลจังหวัดสระบุรีมิใช่ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลโจทก์จึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสระบุรีได้คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ว่าบุตรผู้เยาว์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสระบุรีอันเป็นศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่
เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๖๔/๒๕๔๒ บันทึกในทางทะเบียนการหย่าตามฟ้องทำที่ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ
จังหวัดสมุทรปราการเมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ทำหน้าที่ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองจึงถือว่า
เป็นกรณีที่อ้างว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาหรือข้อตกลงในการจดทะเบียนหย่านั้น
แม้จำเลยและบุตรทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ก็ตาม
ก็ถือว่าสถานที่ที่ได้มีการจดทะเบียนการหย่าเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้นในท้องที่ที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงในทะเบียน
การหย่าไว้นั้น จึงถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ
จังหวัดสมุทรปราการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น
ในเขตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔(๑) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับ คำฟ้อง โจทก์แล้ว
ต่อมามีคำสั่งใหม่เป็นว่าไม่รับคำฟ้องและให้จำหน่ายคดี เมื่อศาลสูงเห็นว่า
ไม่ถูกต้อง
ย่อมพิพากษากลับเป็นให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์แล้วให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อจากกระบวนพิจารณาที่ได้ทำไว้ก่อนวันมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๑๕๕/๒๕๔๐ จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์อันเป็นการ
ได้มาโดยความยินยอมในกรณีหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๒๐ และมาตรา ๑๕๖๖(๑) เป็นการได้อำนาจปกครองมาโดยข้อสัญญา
การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ของจำเลย
โดยอ้างเหตุแห่งการฟ้องร้องว่าจำเลยปล่อยปละละเลยไม่ทำหน้าที่ของผู้ใช้อำนาจปกครองจึงเป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาหรือข้อตกลงในการจดทะเบียนหย่า
ดังนั้น สถานที่ที่ได้มีการจดทะเบียนหย่าและทำบันทึกข้อตกลงในเรื่องการใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ของจำเลย
จึงถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล
โจทก์และจำเลยได้จดทะเบียนการหย่าและทำบันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนการหย่าที่สำนักงานเขตดุสิต*
กรุงเทพมหานครจึงต้องถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร
และเมื่อศาลจังหวัดสระบุรีมิใช่ศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลโจทก์จึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสระบุรีได้คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ว่าบุตรผู้เยาว์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสระบุรีอันเป็นศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่
เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๔๔๓/๒๕๔๖ คำว่า "มูลคดีเกิด"
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔(๑) หมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาของคำฟ้อง โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย
ต้นเหตุของคำฟ้องคือเหตุหย่า ส่วนการจดทะเบียนสมรสเป็นต้นเหตุของความเป็นสามีภริยากัน
สถานที่จดทะเบียนสมรสจึงมิใช่เป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิด
เมื่อโจทก์จำเลยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
จำเลยได้กระทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา โดยทำร้ายร่างกายโจทก์และขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน
อันเป็นเหตุฟ้องหย่า จังหวัดนครศรีธรรมราช
จึงเป็นสถานที่มูลคดีของเหตุฟ้องหย่าเกิด
คดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
มาตรา ๔ ทวิ
“คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่
หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล”
คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
ศาลที่จะเสนอคำฟ้องต้องอยู่ในบังคับของมาตรา ๔ ทวิ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นของ มาตรา ๔ (๑) คือ ยื่นคำฟ้องได้ที่
ก.
ศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาลหรือ
ข. ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
คดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หมายถึง
คดีที่การใช้สิทธิเรียกร้องที่จะต้องบังคับ
หรือพิจารณาเกี่ยวกับตัวอสังหาริมทรัพย์ หรือ
สิทธิหรือประโยชน์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
เป็นการฟ้องบังคับที่ตัวอสังหาริมทรัพย์เข้ามาเกี่ยวข้องในการที่จะต้องถูกบังคับตามคำขอ
ด้วยได้แก่ฟ้องบังคับให้โอนที่ดิน บังคับจำนอง
ฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอมหรือฟ้องเกี่ยวกับสิทธิเก็บกิน
สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น หมายถึง
ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ๔ ว่าด้วยทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๑๕/๒๕๒๓ คดีฟ้องให้จดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขาย
เป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๑๗/๒๕๒๕
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ตั้งอยู่ในจังหวัดตราด โจทก์ได้ตกลงกับห้างหุ้นส่วนจำกัด
อ.ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดอ. ให้โจทก์เข้าเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด
แล้วโจทก์จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ห้าง
และห้างใช้ที่ดินพิพาทเป็นที่ตั้งโรงน้ำแข็งของห้าง
เมื่อเลิกห้างแล้วถ้าหากมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ ก็ให้โจทก์ออกเงินเข้ากองทรัพย์สินของห้าง
๕๐,๐๐๐ บาทแล้วห้างจะโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์
ต่อมาห้างถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและ พิพากษาให้ล้มละลายคดีถึงที่สุด
โจทก์ขอชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท
ให้แก่ห้างและขอให้ห้างจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์จำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างไม่ยอมปฏิบัติตามที่โจทก์ขอ
โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดตราดขอให้บังคับจำเลยรับเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท จากโจทก์
แล้วโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์กับขอให้บังคับห้างออกไปจากที่ดินพิพาทด้วย
ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓มาตรา ๒๖,๒๗
ซึ่งปฏิบัติห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องคดีแพ่งอันเกี่ยวกับหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้
แต่ก็ห้ามเฉพาะหนี้เงิน ไม่ได้ห้ามฟ้องหนี้เกี่ยวด้วยการกระทำงดเว้นกระทำ
หรือส่งมอบทรัพย์อื่นนอกจากเงิน
ซึ่งเจ้าหนี้ไม่อาจขอรับชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังเช่นฟ้องโจทก์ ในคดีนี้
และตามคำฟ้องของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘
ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๕๓
โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดตราด
ซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตไม่จำต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่สั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัด
อ. เด็ดขาด เพราะโจทก์มิได้ฟ้องว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทและขอให้สั่งถอนการยึด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๓๐/๒๕๔๒
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและขอให้บังคับจำนองแก่ที่ดินของจำเลยด้วย
คำฟ้องบังคับ จำนองที่ดินเช่นนี้ย่อมเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
เนื่องจากจะต้องมีการบังคับคดีแก่ตัวทรัพย์นั้น โจทก์จึงมีสิทธิ
เสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ใน
เขตศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔ ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๓๔/๒๕๑๗
คำฟ้องเรียกเงินค่าขายที่ดิน มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดินนั้น
จึงไม่ใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใดๆ
อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น จะฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔(๑) หาได้ไม่
ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ถ้าโจทก์ประสงค์จะฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น
ก็ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้นๆ
จะเป็นการสะดวก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔(๒) เสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๘๓/๒๕๓๔
โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืน
กับเรียกค่าเสียหายเพราะจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว
เป็นการฟ้องให้บังคับตัวจำเลยเป็นหนี้เหนือบุคคลไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
เพราะไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับเกี่ยวกับตัวทรัพย์ดังกล่าว โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๘๓/๒๕๒๗ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์
ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินของโจทก์ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่า
ที่ดินที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ มิใช่ของโจทก์ และจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์แม้จำเลยจะมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดิน
เป็นของจำเลย และตามคำฟ้องของโจทก์มิได้มีคำขอที่จะ บังคับแก่ที่ดินที่พิพาท
แต่การที่จะพิจารณาว่าจำเลย
กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่
อันเป็นการพิจารณาถึงความเป็นอยู่แห่งอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่อันเป็นสาธารณประโยชน์อยู่ในอำนาจดูแลปกปักรักษาของนายอำเภอท้องที่
แม้โจทก์จะมีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำ ประโยชน์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
แต่เมื่อนายอำเภอโต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะและดำเนินการที่จะเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์
ก็ชอบที่โจทก์จะฟ้องร้องนายอำเภอเพื่อขอให้ระงับการกระทำอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
เพราะโจทก์จะเสียสิทธิในที่พิพาทหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่
มิใช่อยู่ที่การกระทำของจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับที่อันเป็นสาธารณประโยชน์และถึงหากจำเลยจะมาช่วยเหลือในการรังวัดปักหลักเขตด้วย
ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ (วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่
๖/๒๕๒๗)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๓๒๑/๒๕๕๐
คู่ความฝ่ายที่เสียหายจากการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอาจยกกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นขึ้นว่ากล่าวได้ในเวลาใด
ๆ ก่อนศาลมีคำพิพากษา
แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น
แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว
หรือมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗
เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสามแล้ว
จำเลยทั้งสามทราบถึงการฟ้องแล้วไม่ได้คัดค้านว่า
ศาลชั้นต้นไม่มีเขตอำนาจที่จะรับฟ้องไว้พิจารณากลับยินยอมให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา
โดยสืบพยานโจทก์และให้จำเลยทั้งสามอ้างตนเข้าเบิกความ
จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายแถลงหมดพยานและศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว
เท่ากับจำเลยทั้งสามยอมปฏิบัติตามที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสร็จสิ้น
อันเป็นการให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบแล้ว
จำเลยทั้งสามจึงยกการผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้
เอกสารใบเสร็จรับเงินที่แนบท้ายอุทธรณ์และฎีกากับสำเนาฟ้องที่แนบมาท้ายฎีกาเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง
เมื่อจำเลยทั้งสามขาดนัดพิจารณา
จำเลยทั้งสามมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์ได้ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๙๙ วรรคสอง (เดิม) เท่านั้น
หามีสิทธิส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานไม่
ฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นการคัดลอกข้อความในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามมาเป็นฎีกาทั้งสิ้น
โดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร
และศาลอุทธรณ์ควรวินิจฉัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง
คดีที่ภูมิลำเนาจำเลยและมูลคดี
มิได้อยู่ในราชอาณาจักร
มาตรา ๔ ตรี
“คำฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔ ทวิ ซึ่ง
จำเลยมิได้ภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร
ถ้าโจทก์เป็นผู้มิสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาล
แพ่งหรือต่อศาลที่โจทก์มิภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
คำฟ้องตามวรรคหนึ่ง
ถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ใน ราชอาณาจักร
ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร โจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่
ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลก็ได้”
บทบัญญัติในมาตรานี้บัญญัติเพื่อสิทธิในการฟ้องคดีของคนสัญชาติไทยหรือ
คนที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยไม่ว่าจะมีสัญชาติใด
คำฟ้องที่ไม่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา
๔ ทวิ ก็เป็นคดีที่เกี่ยวด้วย
หนี้เหนือบุคคลตามกฎหมายถ้าจำเลยมิได้อยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดในราชอาณาจักรนั้น
ถ้าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยจะมีภูมิลำเนาที่ใดไม่สำคัญ หรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรจะเป็นคนสัญชาติใดไม่สำคัญโจทก์จะฟ้องคดีประเภทนี้ได้ต่อ
ก.
ศาลแพ่ง หรือ
ข.
ศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนา หรือ
ค.
ศาลที่จำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับได้ในราชอาณาจักรอยู่ในเขต
โดยโจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาลใดก็ได้โดยไม่ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตเพราะคำว่า
“ก็ได้” ในตอนท้ายน่าจะเป็นการให้สิทธิโจทก์
แต่ในคำฟ้องน่าจะต้องบรรยายให้เห็นว่าที่จะฟ้องคดีต่อศาลหนึ่งศาลใดที่ตนมีภูมิลำเนาก็ได้
ในเรื่องทรัพย์สินที่อาจจะถูกบังคับนั้นต้องเป็นทรัพย์สินของจำเลย
จะเป็นทรัพย์สินประเภทใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์
และถ้ามีทรัพย์สินของจำเลยอยู่ในเขตศาลหลายแห่ง
โจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาลหนึ่งศาลใดที่ทรัพย์อันอาจจะบังคับคดีอยู่ในเขตก็ได้ไม่ว่าจะอยู่อย่างถาวรหรือชั่วคราว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๓๘/๒๕๑๔
ซ. บุตรผู้ร้องได้อยู่กับผู้ร้องที่ตลาดชุมแสงตั้งแต่เล็ก ๆ และได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนจีนในอำเภอชุมแสง
ต่อมา ซ.
มาเรียนต่อที่จังหวัดพระนครจนสำเร็จแล้วสมัครเป็นครูโรงเรียนจีนสอนอยู่ประมาณปีเศษ
ก็ถูกศาลลงโทษฐานเป็นอั้งยี่และถูกเนรเทศไปประเทศจีนก่อนถูกเนรเทศ ซ.
มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ตามทะเบียนบ้านและใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
ดังนี้ แม้ ซ.จะไปประกอบอาชีพชั่วคราว ณ จังหวัดพระนครก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่า ซ.
มีเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนา
คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
มาตรา ๔ จัตวา
“คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ให้เสนอต่อศาลที่
เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย
ในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร
ให้เสนอต่อศาลที่ ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล”
สำหรับคดีร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกนั้น
ผู้ร้องอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลหนึ่ง ศาลใดได้ดังนี้
ก.
ศาลที่เจ้ามรดกมิภูมิลำเนาในเขตศาลในขณะถึงแก่ความตาย
โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าเจ้ามรดกจะถึงแก่ความตายในเขตศาลใด
เช่นเจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดเชียงใหม่มาถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลนครธน
อย่างนี้ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ในการขอเป็นผู้จัดการมรดก
ในกรณีที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรนั้น
ถึงแม้จะมีทรัพย์มรดกไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์อยู่ในเขตศาลที่มิใช่ภูมิลำเนาขณะเจ้ามรดกตาย
ก็จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ไม่ได้ ทั้งไม่อาจที่จะขออนุญาตยื่นต่อศาลทีทรัพย์มรดกตั้งอยู่ได้
ถ้าเจ้ามรดกมีภูมิลำเนาหลายแห่งจะยื่นต่อศาลที่มีภูมิลำเนาแห่งใดก็ได้
ข. ในกรณีที่เจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร
ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล คำว่า ทรัพย์มรดกตามความหมายของมาตรานี้ต้องหมายถึง
ทรัพย์สินทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์
ถ้ามีทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาลหลายศาลผู้ร้องก็อาจจะยื่นคำร้องต่อศาลใดศาลหนึ่งซึ่งทรัพย์มรดกอยู่ในเขตก็ได้
ไม่ว่ามรดกนั้นจะเป็นทรัพย์ประเภทใด
คำพิพากษาฎีกาที่
๔๒๑๔/๒๕๕๗
บุคคลอาจมีภูมิลำเนาหลายแห่งได้ถ้ามีถิ่นที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญหลายแห่ง
เดิมผู้ตายอยู่บ้านเลขที่ ๔๓ หมู่ ๔ ตำบลลำพญา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
ต่อมาในปี ๒๕๔๙ จึงย้ายไปอยู่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อ วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๕
ผู้ตายถึงแก่ความตายขณะอยู่ที่จังหวัดนครปฐม และ ฌาปนกิจที่จังหวัดนครปฐม
ผู้ร้องและทายาทก็มีภูมิลำเนาที่จังหวัดนครปฐม แสดงว่า ผู้ตายมีบ้านเลขที่ ๔๓ หมู่
๔ เป็นสถานที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญอีกแห่งหนึ่งด้วย บ้านที่จังหวัดนครปฐมจึงเป็นภูมิลำเนาของผู้ตายตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๓๗ ดังนั้น ผู้ร้องมีสิทธิเสนอคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลจังหวัดนครปฐมได้ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๔ จัตวา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๔๘/๒๕๔๓ พระภิกษุ
ก. ได้มาซึ่งที่ดินในจังหวัดลำพูนในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศต่อมาพระภิกษุ ก.
ถึงแก่มรณภาพขณะที่พระภิกษุ ก. มีภูมิลำเนาอยู่ที่วัดในจังหวัดเชียงใหม่
โดยมิได้จำหน่ายที่ดินไปในระหว่างชีวิตหรือโดยพินัยกรรมการยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกรายนี้จึงต้องยื่นต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งเป็นศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตขณะถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๔ จัตวา
เมื่อผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้แต่งตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาลจังหวัดลำพูนการที่ศาลจังหวัดลำพูนรับคำร้องไว้พิจารณาและมีคำสั่ง
กับศาลอุทธรณ์ภาค ๒พิจารณาอุทธรณ์ผู้ร้องและพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นการมิชอบปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๔๒(๕)
เป็นไม่รับคำร้องขอของผู้ร้องและให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งสามศาลแก่ผู้ร้อง
คดีที่ร้องขอเกี่ยวกับนิติบุคคล
มาตรา ๔ เบญจ
“คำร้องขอเพิกถอนมติของที่ประชุมหรือที่ประชุมใหญ่ ของนิติบุคคล
คำร้องขอเลิกนิติบุคคล คำร้องขอตั้งหรือถอนผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล
หรือคำร้องขออื่นใดเกี่ยวกับนิติบุคคล ให้เสนอต่อศาลที่นิติบุคคลนั้นมี
สำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในเขตศาล”
ในคดีที่ต้องใช้สิทธิทางศาลเกี่ยวกับนิติบุคคลนั้นเป็นคนละกรณีกับคดีที่ฟ้องนิติบุคคลเป็นจำเลย
หลักของการเสนอคดีต่อศาลใดในมาตรานี้ใช้เฉพาะกรณีที่เริ่มคดีด้วยคำร้องขอเท่านั้น
ถึงแม้บางกรณีโจทก์อาจจะดำเนินคดีโดยทำเป็นคำฟ้องหรือคำร้องขอได้ก็ตาม
ถ้าเริ่มคดีโดยทำเป็นคำฟ้องก็ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ของมาตรานี้
คำร้องขอที่เกี่ยวกับนิติบุคคลตามมาตรานี้
ได้แก่
ก.
คำร้องขอเพิกถอนมติที่ประชุมหรือที่ประชุมใหญ่ของนิติบุคคล
ข.
คำร้องขอเลิกนิติบุคคล
ค.
คำร้องขอตั้งหรือถอนผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล
ง.
คำร้องขออื่นใดเกี่ยวกับนิติบุคคล
คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินที่จะต้องจัดการในราชอาณาจักร
มาตรา ๔ ฉ บัญญัติว่า
“คำร้องขอเกี่ยวกับทรัพย์สินที่อยู่ในราชอาณาจักร ก็ดี
คำร้องขอที่หากศาลมีคำสั่งตามคำร้องขอนั้นจะเป็นผลให้ต้องจัดการหรือเลิก
จัดการทรัพย์สินที่อยู่ในราชอาณาจักรก็ดี
ซึ่งมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรและผู้ร้องไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร
ให้เสนอต่อศาลที่ทรัพย์สินดังกล่าว อยู่ในเขตศาล”
บทบัญญัติของมาตรา ๔ ฉ
นี้อาจเรียกว่าเป็นการบัญญัติไว้สำหรับบุคคลที่ย้ายภูมิสำเนาระหว่างประเทศอาจจะเป็นคนไทยอพยพไปอยู่ต่างประเทศ
แต่ยังคงมีทรัพย์สินไว้ในประเทศไทย หรือคนต่างประเทศอพยพมาอยู่เมืองไทย มาทำมาหากินและมีทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทย
แต่ต่อมาอพยพไปอยู่ต่างประเทศก็ได้ ฉะนั้นบัญญัติมาตรานี้จึงบัญญัติ
ไว้โดยมีวัตถุประสงค์ในการเสนอคดีต่อศาลของผู้ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงภูมิสำเนาในระหว่างประเทศ
คำร้องขอตามมาตรานี้ หมายถึง
คำร้องขอเมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอแล้ว
จะต้องมีการจัดการทรัพย์สินที่อยู่ในราชอาณาจักร หรือต้องเลิกจัดการทรัพย์สินนั้น
ที่อยู่ในราชอาณาจักรซึ่งทำให้มีผู้มีอำนาจจัดการหรือเลิกจัดการทรัพย์สินที่อยู่ในราชอาณาจักรนั้นโดยผู้ร้องไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีที่เป็นเหตุให้มีการร้องขอนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร
ทั้งนี้พิจารณาเฉพาะตัวทรัพย์สินอย่างเดียว และหากผู้ร้องมีภูมิสำเนาอยู่ในราชอาณาจักรก็ใช้มาตรา
๔ (๒) ได้ การเสนอคดีตามมาตรานี้เป็นการเสนอคดีต่อศาลทีมีเขตเหนือทรัพย์สินที่จะต้องจัดการหรือขอให้เลิกจัดการนั้น
ถ้าทรัพย์สินที่จะจัดการหรือขอให้เลิกจัดการนั้นมีหลายอย่างอยู่
ต่างเขตศาลกัน ก็ต้องอาศัยหลักตามมาตรา ๕ คือจะยื่นคำร้องขอต่อศาลไหนก็ได้
ศาลที่มีอำนาจเหนือคดีนั้นหลายศาล
มาตรา ๕
“คำฟ้องหรือคำร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่า นั้น
ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี
เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อก็ดี ถ้ามูลความแห่งคดี
เกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่น
ว่านั้นก็ได้”
คดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลหลายศาลนั้น
ได้แก่
ก.
คดีที่ฟ้องจำเลยร่วมกันหลายคนที่มูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน แต่ละคน
มีภูมิลำเนาต่างกัน
ข.
คดีที่มีมูลคดีเกิดขึ้นหลายท้องที่ที่อยู่ในเขตศาลต่างกัน
ค. คดีที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ในเขตศาลหลายศาล
ง.
คดีที่มีหลายข้อหา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๙๒/๒๕๔๑ คำฟ้องโจทก์นอกจากขอให้บังคับจำนองเอากับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสุพรรณบุรีและในเขตอำนาจศาลจังหวัดราชบุรีแล้วโจทก์ยังฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่
๑ ชำระเงินตามสัญญากู้เงินและหนังสือรับสภาพหนี้ให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่
๑ กับให้จำเลยที่ ๓ ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ กับสัญญาจำนองเพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่
๑และที่ ๓ โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญาที่ทำกันที่สำนักงานของโจทก์สาขาท่าเรือ
จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดกาญจนบุรี
ดังนั้นต้องถือว่าคำฟ้องส่วนที่ให้บังคับตามสัญญากู้เงิน สัญญาค้ำประกัน
และหนังสือรับสภาพหนี้มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดกาญจนบุรีแม้ว่าโจทก์จะฟ้องบังคับจำนองด้วย
กรณีเป็นเรื่องโจทก์อาจเสนอคำฟ้องต่อศาลได้สองศาล
โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีได้เพราะเป็นสถานที่ที่เกิดมูลคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
๕ ประมวลรัษฎากรมิได้ระบุให้สัญญาจำนองต้อง ปิดอากรแสตมป์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๖๔๗/๒๕๔๔ อ.
ก. และ ป. เจ้ามรดกทั้งสามรายมีทรัพย์สินอันเป็นมรดกร่วมกัน คือที่ดินน.ส. ๓
ที่จังหวัดมหาสารคาม
ย่อมถือได้ว่าคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกทั้งสามรายดังกล่าวมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันพอที่พิจารณารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๕ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของ อ. และ ก.
ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดมหาสารคามในขณะที่ถึงแก่ความตาย
ตามมาตรา ๔ จัตวา และขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของ ป.
ซึ่งไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดมหาสารคามมาในคำร้องเดียวกันได้
ถอดเทป-เน้นประเด็นคำบรรยาย สรุป เก็ง วิแพ่ง วิอาญา ติดตาม ทยอยอัพเดท.. ที่ LawSiam.com