เนติบัณฑิต เก็งเนติ เตรียมสอบ เนติบัณฑิต ภาค1-2 สมัยที่ 74

วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2561

ฎีกาเก็ง ถอดเทป ฟื้นฟูกิจการ อ.วิชา 3 มกราคม 2561สัปดาห์ที่ 7 (ภาคปกติ) เตรียมสอบเนติ สมัยที่ 70

ฎีกาเก็ง ถอดเทป ฟื้นฟูกิจการ อ.วิชาฯ สัปดาห์ที่ 7
วันที่ 3 มกราคม 2561 (ภาคปกติ) เตรียมสอบเนติ สมัยที่ 70
.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2548 การที่กฎหมายให้สิทธิเจ้าหนี้ขอหักกลบลบหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้ตามมาตรา 90/33 นั้น เป็นระบบการจัดการทรัพย์สินในอันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ที่จะนำหนี้ที่ตนมีภาระต้องชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้อยู่แล้วในเวลาที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการไปหักกับหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้
มาตรา 90/33 ที่บัญญัติว่า "เจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการเป็นหนี้ลูกหนี้ในเวลาที่มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ" ย่อมหมายถึงในเวลาที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้นั้น ลูกหนี้และเจ้าหนี้ต่างเป็นหนี้ซึ่งกันและกัน มิได้หมายถึงช่วงระยะเวลาที่ลูกหนี้อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการ ฉะนั้น หนี้ที่เจ้าหนี้จะนำมาหักกลบลบหนี้ได้นั้น เจ้าหนี้ต้องเป็นหนี้ลูกหนี้ก่อนศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ เจ้าหนี้จึงนำหนี้ดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องแก่ลูกหนี้ได้
ถ้าเจ้าหนี้เป็นหนี้ลูกหนี้หลังศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ และได้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้ภายหลังศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเช่นกัน เจ้าหนี้และลูกหนี้ย่อมสามารถนำหนี้ที่มีต่อกันมาหักกลบลบหนี้กันได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 341 โดยหากเจ้าหนี้เป็นฝ่ายที่ขอหักกลบลบหนี้แล้วก็ย่อมทำได้โดยการแสดงเจตนาต่อผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนแล้วแต่กรณี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1720/2525 แม้ว่าพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 จะให้สิทธิแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้กับจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้หักกลบลบหนี้กันได้ แต่วิธีหักกลบลบหนี้ก็จะต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 342 โดยแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยอายัดเงินที่ผู้ร้องเป็นลูกหนี้จำเลยและให้ส่งเงินนั้นแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์. ผู้ร้องได้ส่งเงินฝากดังกล่าว ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ หนี้เงินฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องเป็นอันระงับลงสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ย่อมสิ้นสุดลง ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอหักกลบลบหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3747/2547 ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ส่วนลูกหนี้มีเงินฝากอยู่กับผู้คัดค้านตามบัญชีเงินฝากรวม 2 บัญชี โดยผู้คัดค้านรับฝากเงินไว้ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ เงินฝากดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านตั้งแต่มีการฝากเงิน ลูกหนี้ผู้ฝากเงินมีสิทธิที่จะถอนเงินฝากไปได้และผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบตามจำนวนที่ขอถอน ถึงเห็นกรณีที่ผู้คัดค้านกับลูกหนี้ต่างเป็นหนี้ซึ่งกันและกันอยู่ในเวลาที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ ผู้คัดค้านจึงใช้สิทธินำเงินฝากทั้งสองบัญชีดังกล่าวของลูกหนี้มาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระแก่ผู้คัดค้านได้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/33 ภายหลังที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการแต่ก็เป็นช่วงเวลาก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนดังกล่าว ซึ่งเจ้าหนี้ยังไม่ถูกผูกมัดให้ได้รับชำระหนี้ตามเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ในแผนตามมาตรา 90/60 วรรคหนึ่ง

.
.
ติดตาม ถอดเทป สรุป เก็ง ท่องพร้อมสอบ รายข้อ เนติ ภาค2 ที่ LawSiam.com

วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561

ฎีกาเก็ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภาค 1-2 (ภาคค่ำ) อ.สุรสิทธิ์ แสงโรจนพัฒน์ เนติบัณฑิต สมัยที่ 70

ฎีกาเก็ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภาค 1-2 (ภาคค่ำ) เนติบัณฑิต สมัยที่ 70
 อ.สุรสิทธิ์ แสงโรจนพัฒน์  
----------------------

         คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4778/2543 เมื่อคำร้องขอถอนฟ้องฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2536 ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกาที่ 6319/2541 ว่า ส. ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวเป็นผู้ทำปลอมขึ้นเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การสั่งคำร้องขอศาลชั้นต้นจึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้รับความเสียหายซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดและให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 ของโจทก์พอแปลเจตนารมณ์ของโจทก์ได้ว่า ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไปการยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 มาปรับใช้บังคับได้

วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งภาค 4 (บังคับคดี) มาตรา 271 ถึงมาตรา 321 (ภาคทบทวนวันอาทิตย์) 17 ธันวาคม 2560

หลักการใหม่ ของการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งภาค 4
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งภาค 4 (บังคับคดี)
มาตรา 271 ถึงมาตรา 321 (ภาคทบทวนวันอาทิตย์)
บรรยายโดยอาจารย์วิวัฒน์ ว่องวิวัฒน์ไวทยะ
บรรยายวันที่ 17 ธันวาคม 2560
-----------


         ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของการบรรยาย อาจารย์จะขอกล่าวถึงบทบัญญัติของกฎหมายในส่วนของภาคบังคับคดีที่มีการแก้ไขใหม่ ซึ่งนักศึกษาจะไม่รู้ไม่ได้ เพราะเป็นกรณีที่กฎหมายใหม่กลับหลักกฎหมายเดิม

      กรณีแรก คือบทบัญญัติในมาตรา 272 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างใดซึ่งต้องมีการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ให้ศาลออกคำบังคับทันทีที่ได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นและให้ถือว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ทราบคำบังคับแล้ว”

ให้นักศึกษาขีดเส้นใต้ตัวบทคำว่า “ซึ่งต้องมีการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา และคำว่าหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้ถือว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ทราบคำบังคับแล้ว” ดังนั้นต่อไปนี้ในคดีแพ่งที่จำเลยมิได้ขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณาโดยคดีมีการสืบพยานหลักฐาน แล้วต่อมาเมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยไม่มาศาล ก็ให้ศาลอ่านคำพิพากษาและให้ศาลออกคำบังคับทันทีโดยให้ถือว่าจำเลยที่ไม่มาศาลนั้นทราบคำบังคับแล้วในวันนั้น เพราะฉะนั้นในปัจจุบันคดีที่จำเลยไม่ได้ขาดนัดยื่นคำให้การโดยขาดนัดพิจารณาแต่ไม่มาศาลในวันฟังคำพิพากษาจะไม่มีการส่งคำบังคับไปให้จำเลยอีก
แต่ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณา มาตรา 272 วรรคสองได้บัญญัติเอาไว้ว่าจะต้องส่งคำบังคับนั้นให้แก่จำเลยด้วย

* ประเด็นต่อมาที่นักศึกษาจะต้องรู้คือกรณีตามบทบัญญัติในมาตรา 273 วรรคสี่ซึ่งบัญญัติว่า ในระหว่างที่ระยะเวลาตามคำบังคับยังไม่ครบกำหนด หรือการปฏิบัติตามวิธีการหรือเงื่อนไขในการบังคับยังไม่เสร็จสิ้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตน โดยให้นักศึกษาขีดเส้นใต้คำว่าเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของตน

!!! หลักการใหม่ในเรื่องต่อไปคือกรณีตามบทบัญญัติในมาตรา 274 ซึ่งแต่เดิมนั้นบุคคลที่มีสิทธิจะร้องขอให้มีการบังคับคดีคือคู่ความฝ่ายที่ชนะคดี แต่ในปัจจุบันนั้นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ได้รับชำระหนี้ ซึ่งอาจไม่ใช่คู่ความในคดี แต่อาจจะเป็นบุคคลภายนอกก็มีสิทธิที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีได้เช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็นกรณีของบุคคลภายนอกที่ได้รับประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่ความได้ตกลงกันและศาลมีคำพิพากษาตามยอมก็ได้อีกทั้ง มาตรา 274 วรรคสามได้บัญญัติเอาไว้ว่า ถ้าสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นการให้ชำระเงิน ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้บุคคลซึ่งได้รับโอนหรือรับช่วงสิทธิตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นมีอำนาจบังคับคดีได้ ซึ่งตามกฎหมายเดิมนั้น สิทธิในการบังคับคดีไม่สามารถที่จะโอนให้บุคคลภายนอกได้ แต่ในปัจจุบันนั้นสามารถโอนสิทธิในการบังคับคดีได้แล้ว

* ต่อไปคือบทบัญญัติในมาตรา 277 ในเรื่องการไต่สวนหาทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งแต่เดิมนั้นเจ้าหนี้จะยื่นคำขอให้ศาลออกหมายเรียกลูกหนี้มาไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่ได้ โดยศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าเจ้าหนี้จะใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่ได้ แต่ในปัจจุบันนั้นหากเจ้าหนี้ทราบว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินที่จะต้องถูกบังคับคดี แต่ไม่ทราบว่าทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่หรือเก็บรักษาไว้ที่ใด ต่อไปนี้เจ้าหนี้สามารถใช้ศาลเป็นเครื่องมือเพื่อเรียกลูกหนี้มาไต่สวนเพื่อหาทรัพย์ได้ ซึ่งเป็นการกลับคำพิพากษาของศาลฎีกาเดิมทั้งหมด

***ต่อไปมาดูบทบัญญัติในมาตรา 298 แต่เดิมนั้นเวลาที่เจ้าหนี้จะยึดทรัพย์ หากเจ้าหนี้นำชี้ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของลูกหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็จะต้องทำการยึดทรัพย์สินนั้น แต่ในปัจจุบันนั้นกฎหมายได้สร้างเกราะคุ้มกันให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี โดยหากทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าเป็นของลูกหนี้มีชื่อบุคคลอื่นเป็นเจ้าของในทะเบียน หรือปรากฏตามหลักฐานอื่นว่าเป็นของบุคคลอื่นหากเจ้าพนักงานบังคับคดีสงสัยว่าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นไม่ใช่เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและไม่ยอมยึดอายัด หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายืนยันให้ยึดหรืออายัดเจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องนั้น หรือจะสั่งงดการยึดหรือการอายัดก็ได้ แต่ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะสั่งงดการยึดหรืออายัดได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีสงสัยว่าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นไม่ใช่เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยและจะต้องมีคำสั่ง ห้ามการโอน ขาย ยักย้าย จำหน่ายทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นเอาไว้ด้วย

และในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้งดการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว หากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายังยืนยันให้ยึด เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งงดการยึดหรือการอายัด เพื่อขอให้ศาลสั่งให้
เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องนั้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องมายื่นคำร้องต่อศาลเท่านั้น

***ประเด็นต่อไปที่นักศึกษาไม่รู้ไม่ได้คือกรณีตามมาตรา 331 ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 จุด ด้วยกัน โดยจุดแรก คือเมื่อได้มีการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องทั้งหมดหรือบางส่วนของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไปแล้ว กฎหมายบัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยในเรื่องนี้ให้นักศึกษาตั้งเป็นข้อสังเกตเอาไว้ว่าในปัจจุบันนั้นในการขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตจากศาลแล้ว

จุดที่ 2 คือหากเจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องกำหนดวันขายทอดตลาดไม่น้อยกว่า 60 วันนับแต่วันยึด อายัดหรือส่งมอบทรัพย์สินนั้น และที่สำคัญจะอยู่ในบทบัญญัติของมาตรา 331 วรรคสาม คือ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายให้แก่ผู้เสนอราคาสูงสุดแล้ว ห้าม มิให้บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีหยิบยกเรื่องราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดมีจำนวนต่ำเกินสมควร มาเป็นเหตุขอให้มีการเพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นอีก ทั้งนี้เพราะบทบัญญัติในมาตรา 331 วรรคสองได้กำหนดให้เวลาในการขายทอดตลาดนั้นไม่น้อยกว่า 60 วันแล้ว เพื่อให้เวลาบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย หาบุคคลมาสู้ราคาในการขายทอดตลาดนั้นเพราะฉะนั้น เมื่อมีการขายทอดตลาดแล้วกฎหมายจึงห้ามบุคคลผู้มีส่วนได้เสียหยิบยกเรื่องราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดมีจำนวนต่ำเกินสมควรมาเป็นเหตุขอให้มีการเพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นอีกซึ่งเป็นการยกเลิกบทบัญญัติในมาตรา 309 ทวิเดิมทั้งหมด

ต่อไปมาดูบทบัญญัติในมาตรา 357 วรรคสาม ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาให้ทำนิติกรรม โดยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ซึ่งหากหนังสือสำคัญ เช่น โฉนดที่ดิน ใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ใบทะเบียน หรือเอกสารสิทธิที่จะต้องใช้เพื่อการจดทะเบียนนั้นสูญหาย บุบสลายหรือนำมาไม่ได้เพราะเหตุอื่นใด ศาลสามารถที่จะสั่งให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ออกใบแทนหนังสือสำคัญดังกล่าวได้ และเมื่อได้ออกใบแทนแล้วหนังสือสำคัญเดิมก็เป็นอันยกเลิกไปซึ่งในเรื่องนี้เป็นการกลับหลักการเดิมของกฎหมาย เพราะแต่เดิมนั้นคำพิพากษาของศาลจะไปบังคับบุคคลภายนอกไม่ได้ แต่ปัจจุบันนั้นเฉพาะกรณีที่ศาลพิพากษาโดยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนานั้น ศาลสามารถ มีคำสั่งบังคับบุคคลภายนอกในเรื่องดังกล่าวได้แล้ว

ประการต่อมาคือในบทบัญญัติ มาตรา 358 วรรคหนึ่ง ซึ่งการบังคับคดีในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษากระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ถ้าการกระทำนั้นเป็นกรณีที่อาจให้บุคคลภายนอกกระทำการแทนได้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้บุคคลภายนอกกระทำการนั้นแทนลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ซึ่งแต่เดิมนั้นไม่สามารถที่จะกระทำเช่นนี้ได้