ความผิดตามมาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓ เป็นความผิดสําเร็จ เมื่อใด?
ความผิดตามมาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓ เป็นความผิดสําเร็จทันที เมื่อพนักงานสอบสวนได้ทราบข้อความ (ฎีกาที่ ๑๐๗๖/๒๕๕๑)
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
เจาะข้อสอบ* สรุปเนติ ถอดไฟล์เสียงเนติ ฎีกาใหม่ เก็งเนติรายข้อ ท่องพร้อมสอบ อัพเดท
ความผิดตามมาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓ เป็นความผิดสําเร็จ เมื่อใด?
ความผิดตามมาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓ เป็นความผิดสําเร็จทันที เมื่อพนักงานสอบสวนได้ทราบข้อความ (ฎีกาที่ ๑๐๗๖/๒๕๕๑)
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
แจ้งความเพียงว่า “สงสัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทําความผิด” แต่บุคคลนั้นไม่ได้กระทำผิด มีความผิดฐานใดหรือไม่?
การแจ้งความเพียงว่า “สงสัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทําความผิด” ยังไม่พอฟัง ว่ามีเจตนาแกล้งให้ผู้ต้องสงสัยรับโทษ
ดังนั้น หากไม่แน่ใจว่าบุคคลใดกระทําความผิด ต้องใช้คําว่า
“สงสัย” มิใช่ยืนยันว่าบุคคลนั้นการกระทําผิด (เน้น**)
ฎีกาที่
๑๔๒๔/๒๕๕๔ ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจําเลยแจ้งความเท็จเพื่อจะแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ
จําเลยมิได้ยืนยันว่าผู้ที่ปลอมเอกสาร คือ โจทก์ โดยจําเลยแจ้งความเพียงว่าจําเลยสงสัยโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจําเลยมีเจตนาแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษ
ไม่อาจเป็นความผิดตามมาตรานี้
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
ฎีกาที่ ๕๙๘/๒๕๓๖ สมัครใจร่วมประเวณีแต่ไปแจ้งว่าถูกข่มขืนกระทําชําเรา เป็นความผิดตามมาตรา
๑๗๔ วรรคสอง และมาตรา ๑๘๑
๑. ถ้าการกระทําความผิดตามมาตรา
๑๗๔**
เป็นการกระทําในกรณีแห่งข้อหาว่าผู้ใดกระทําความผิดที่มีระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไป
ผู้กระทําต้องรับโทษหนักขึ้นไปอีก ตามมาตรา ๑๘๑ (๑)
๒. ข้อเท็จจริงมักมีการแจ้งความดําเนินคดีเช่นนี้บ่อยครั้ง
ซึ่งเมื่อในทางพิจารณาฟังได้ว่าฝ่ายหญิงยินยอมร่วมประเวณี ฝ่ายหญิงก็เป็นผู้กระทําความผิดตามมาตรานี้
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
ฎีกาที่ ๑๐๔๑/๒๕๔๒ มาตรา ๑๗๔ แจ้งข้อความตามมาตรา ๑๗๓ เพื่อจะแกล้งให้บริษัทเจ้าของสถานที่และกรรมการผู้จัดการบริษัทที่ถูกกล่าวหาด้วย ข้อความเท็จว่าในอาคารของบริษัทมีสิ่งของผิดกฏหมายซุกซ่อนอยู่แต่ความจริงไม่มีสิ่งของผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ เป็นความผิดมาตรา ๑๗๓ เพราะรู้ว่ามิได้มีการกระทําผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวนว่ามีการกระทําผิด
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
คําว่า “แกล้ง” ตามมาตรา ๑๗๔ และ มาตรา ๒๐๐ ศาลใช้พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานในการให้ความหมาย ซึ่งหมายความว่า จงใจทํา พูด หรือ แสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เขาเสียหาย อาย เดือดร้อน ขัดข้อง เข้าใจผิด เป็นต้น
ข้อสังเกต ประเด็นนี้เคยนําไปออกข้อสอบเนติฯ สมัยที่ ๖๐ ร่วมกับความผิด
เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร****
ฎีกาที่
๒๐๙/๒๕๐๖ จําเลยเกิดปากเสียงกับนายชิงชองแล้วถูกนายชิงชอง
ชกต่อยเอา แต่จําเลยกลับนําความไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า มีนักเลง ๓ คน
กลุ้มรุมทําร้ายจําเลย โดยคนหนึ่งใช้ไม้ตีคนหนึ่งล็อกคอ
อีกคนหนึ่งล้วงเอาเงินในกระเป๋าเสื้อไป ๓๐๐ บาท ซึ่งเป็นความเท็จ การกระทําของจําเลยเช่นนี้ย่อมเป็นการแกล้งจะให้นายชิงชองต้องรับโทษหนักขึ้น
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
การกระทําเดียวอาจเป็นความผิดทั้งหมิ่นประมาท มาตรา ๓๒๖ และ แจ้งเท็จ ปอ. มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๑๗๔ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๗๓ ได้ โดยความผิดฐานแจ้งเท็จ เมื่อเป็นความผิดตาม มาตรา ๑๗๓ ซึ่งเป็นบทเฉพาะ แล้วไม่จําต้องปรับบทมาตรา ๑๓๗ ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
ฎีกาที่
๘๖๑๑/๒๕๕๒ จําเลยรู้ว่ามิได้มีการกระทําในข้อหาลักทรัพย์เกิดขึ้นแต่กลับไป
แจ้งความแก่พนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทําผิดในข้อหาลักทรัพย์
อันเป็นเท็จเพื่อให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดข้อหาลักทรัพย์เกิดขึ้นเพื่อให้โจทก์ร่วมได้รับโทษ การกระทําของจําเลยจึงเป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จตาม
ปอ. มาตรา ๑๓๗ มาตรา ๑๗๔ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๗๓ จําเลยยังมีเจตนาแจ้งความเพื่อให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีแก่โจทก์ร่วมอันเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สาม
เพื่อให้โจทก์ร่วมถูกดูหมิ่นเกลียดชังและเสียชื่อเสียง การกระทําของจําเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมอีกด้วย
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
กรณีเข้าใจโดยสุจริตว่ามีความผิดเกิดขึ้นแล้วไปแจ้ง
แม้ความจริงจะไม่มีความผิดเกิดขึ้น ถือว่าไม่มีเจตนาไม่เป็นความผิด
ฎีกาที่
๘๙๗/๒๕๐๗ จําเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนโดยเล่าเรื่องให้ฟังตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าในขณะที่โจทก์ออกจากบ้านได้มีเสียงปืนดังขึ้น
๑ นัด จําเลย ไม่เห็นคนยิง แต่เชื่อหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นผู้ยิงพนักงานสอบสวนได้สรุปข้อความตามคําแจ้งความไว้แล้ว
มีความตอนหนึ่งว่าโจทก์ใช้ปืนพกยิงจําเลยเข้าใจว่าโจทก์มีเจตนาจะยิ่งจําเลยให้ถึงแก่ความตาย
ดังนี้ ข้อความที่บันทึกไว้นั้นก็เป็นข้อความที่พนักงานสอบสวนบอกให้ตํารวจเขียน
ไม่ใช่ถ้อยคําที่จําเลยแจ้งโดยแท้จริง
ทั้งพฤติการณ์จําเลยมิได้เจตนาแกล้งเอาความเท็จไปกล่าวหาโจทก็ไม่ผิด มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
ฎีกาที่
๕๙๔/๒๕๒๑ แจ้งความเท็จต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทย ซึ่งขณะนั้น
เป็นรองอธิบดีกรมตํารวจมีอํานาจสืบสวนคดีอาญาด้วย แต่แจ้งความในฐานะรัฐมนตรี
ไม่เป็นความผิด ตามมาตรา ๑๗๒, ๑๗๓
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
ฎีกาที่ ๒๕๙/๒๕๐๙ แม้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔๕ จะบัญญัติให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญาก็ดี ก็มีแต่เพียงอํานาจสอบสวนอธิกรณ์ และสั่งลงโทษพระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเท่านั้น หามีอํานาจรับแจ้งความเกี่ยวกับการกระทําผิดอาญา และมีอํานาจสืบสวนสอบสวนคดีอาญาไม่ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีอํานาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓
อ้างอิง : กฏหมายอาญา มาตรา1-58,107-208 (อ.ชาตรี สุวรรณิน) สมัยที่74
“พนักงานสอบสวน” ซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๖) หมายความถึง เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอํานาจและหน้าที่ทําการสอบสวน มิใช่เพียงเจ้าหน้าที่ตํารวจ เพราะปัจจุบันพนักงานสอบสวนมีหลายหน่วยงาน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ ปปช. ปปท. หรือเจ้าหพนักงานฝ่ายปกครอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๑๗) ซึ่งมีอํานาจสอบสวนคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๘ เป็นต้น