บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต ภาค ๑ สมัยที่ ๗๗ (เล่มที่ ๒)
คําถาม
ผู้รับจ้างทําหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างตามสัญญาจ้างให้แก่
ผู้ให้บริการส่งวัสดุก่อสร้างทั้งหมดเพียงผู้เดียว
และต่างมีหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้อง ไปยังผู้ว่าจ้างแล้ว
หากผู้รับจ้างมีหนังสือถึงผู้ว่าจ้างขอเปลี่ยนแปลงผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างตามสัญญาจากเดิมที่เป็นผู้ให้บริการส่งวัสดุก่อสร้างกลับมาเป็นผู้รับจ้างเช่นเดิม
โดยไม่มีการแจ้งให้ผู้ให้บริการส่งวัสดุก่อสร้างทราบ
เป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่
คําตอบ
มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๕๒/๒๕๖๖
การหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๔๑ ผู้กระทําความผิดจะต้องได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามด้วย
หนังสือบันทึกข้อตกลงโอนสิทธิการรับเงินแผ่นที่
๒ มีระบุข้อความไว้ในข้อ ๓
ให้เข้าใจได้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างที่จําเลยที่ ๑ จะได้รับจากทางราชการตามสัญญาจ้างเลขที่
๑/๒๕๖๑ จํานวน ๘,๒๑๐,๐๐๐ บาท ไปเป็นของโจทก์มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประกันหนี้และ
เพื่อชําระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างที่จําเลยที่ ๑ มีอยู่แก่โจทก์
หากเงินที่โจทก์ได้รับจากทางราชการไม่เพียงพอแก่การชําระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้าง
จําเลยที่ ๑ ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องชําระให้แก่โจทก์จน ครบถ้วน
แต่หากมีส่วนที่เหลืออยู่ โจทก์ก็จะคืนให้แก่จําเลยที่ ๑ ดังนี้ บ่งชี้ว่า
เหตุที่โจทก์ยอมส่ง วัสดุก่อสร้างให้แก่จําเลยที่ ๑
นําไปใช้ก่อสร้างตามสัญญาที่ทําไว้กับทางราชการก่อนโดยยังไม่ต้อง
ชําระราคาก็เพราะจําเลยที่ ๑
ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างที่มีอยู่แก่ทางราชการให้แก่ โจทก์ทั้งหมดแล้ว
อันเป็นหลักประกันว่าโจทก์จะได้รับการชําระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างที่โจทก์ให้การ
สนับสนุนจําเลยที่ ๑ อย่างแน่นอน ฉะนั้น
หากจะฟังว่าจําเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์
โดยมีเจตนาตั้งแต่แรกที่จะไม่โอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างให้โจทก์ด้วยการบิดพลิ้ว
เปลี่ยนแปลงการโอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างที่เป็นของโจทก์กลับคืนมาเป็นของจําเลยดังเดิม
ในภายหลังตามที่โจทก์บรรยายมาในคําฟ้องจริง ก็เห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะจําเลยทั้งสองประสงค์ที่จะได้รับวัสดุก่อสร้างจากโจทก์มาใช้ในการทํางานโดยทุจริตด้วยการไม่ชําระราคา
ให้แก่โจทก์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เงินค่าจ้างของจําเลยที่ ๑ อันโจทก์ควรได้รับจากสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องจึงเป็นเพียงสิทธิของโจทก์มีอยู่เหนือทางราชการซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นลูกหนี้ของจําเลยที่
๑ ในอันจะต้องชําระเงินค่าจ้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ หาใช่เป็นทรัพย์สินอันจําเลยที่ ๑
ได้ไปจากโจทก์โดยตรงจากผลการหลอกลวงของจําเลยทั้งสองไม่
ทั้งยังถือไม่ได้ด้วยว่าเป็นทรัพย์สินอันจําเลยที่ ๑
ได้ไปจากทางราชการซึ่งเป็นบุคคลที่สามจากการหลอกลวงโจทก์
เพราะการที่ทางราชการจ่ายเงินค่าจ้างในงวดงานที่ ๔ ถึง ๗ ให้แก่จําเลยที่ ๑
ไปจํานวน ๔,๑๐๕,๐๐๐ บาท เป็นผลสืบเนื่องมาจากจําเลยที่ ๑ มีหนังสือเปลี่ยนแปลงการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าจ้างกลับคืน
มาเป็นของจําเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับทางราชการมาแต่แรกเป็นสําคัญ
หาได้มีการหลอกลวง ใด ๆ ไม่ และแม้การกระทําดังกล่าวเป็นการกระทําโดยมิชอบ
ทําให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหาย
เพราะการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์กับจําเลยที่ ๑
เกิดขึ้นสําเร็จครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา ๓๐๖ แล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องไปว่ากล่าว
ดําเนินการแก่จําเลยทั้งสองเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากต่อไป เมื่อเงินค่าจ้างในงวดงานที่ ๔ ถึง ๗ ซึ่งจําเลยที่ ๑
รับไปจากทางราชการ มิใช่ทรัพย์สินที่จําเลยที่ ๑
ได้รับมาจากการที่จําเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์เสียแล้ว
การกระทําของจําเลยทั้งสองจึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ไม่เป็นความผิด
คําถาม
การนําสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารว่าผู้กู้ชําระหนี้ด้วยการโอนเงินหรือ
ฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากของผู้มีอํานาจรับชําระหนี้แทนผู้ให้กู้ ว่ามีการชําระเงินกู้ให้แก่ผู้ให้กู้แล้ว
ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่
สัญญากู้เงินมีข้อตกลงให้ผู้กู้ชําระดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้
แต่ไม่ได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยไว้
ผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยอัตราเท่าใดและเริ่มคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เมื่อใด
คําตอบ
มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๙๖/๒๕๖๕ จําเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์หรือหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืน
หรือแทงเพิกถอนเป็นพยานหลักฐานในคดี
จึงต้องห้ามมิให้นําสืบเรื่องการใช้เงินชําระหนี้กู้ยืม จึงไม่อาจรับฟังคําเบิกความของจําเลยที่อ้างตนเองเป็นพยานว่า
จําเลยชําระหนี้เป็นเงินสด แก่โจทก์เป็นพยานหลักฐานได้ เพราะต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวและ
ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔ อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติดังกล่าวห้ามการนําสืบเฉพาะกรณีการใช้เงิน
ไม่ห้ามการนําสืบกรณีการชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๓๒๑ วรรคหนึ่ง
ซึ่งการนําสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารว่าจําเลยชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๒๑ วรรคหนึ่ง ไม่ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคสอง และ ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔ (ก)
จําเลยโอนเงินหรือฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากของ
ส. เพื่อชําระหนี้แก่โจทก์แล้ว ส. โอนเงิน ดังกล่าวทั้งหมดเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์โดยโจทก์ยินยอมรับเงินที่
ส. โอนเข้าบัญชีเงินฝากของ โจทก์
ซึ่งเป็นการชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา
๓๒๑ วรรคหนึ่ง และจําเลยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของ ย.
ผู้มีอํานาจรับชําระหนี้แทนโจทก์ เพื่อชําระหนี้แก่โจทก์ ถือได้ว่าจําเลยชําระหนี้จํานวนดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๑๕
หนังสือสัญญากู้เงินมีข้อตกลงให้จําเลยชําระดอกเบี้ยแก่โจทก์
แต่ไม่ได้ตกลงอัตรา ดอกเบี้ยไว้ ซึ่งตามปกติแล้วจําเลยต้องชําระดอกเบี้ย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗ ซึ่งขณะทําสัญญา อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันที่จําเลยกู้ยืมเงินเป็นต้นไป ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องเรียกร้อง
ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไป
ศาลจึงต้องพิพากษาให้จําเลยชําระดอกเบี้ยนับแต่วันที่จําเลยผิดนัดเป็นต้นไป
ไม่อาจพิพากษาให้จําเลยชําระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ จําเลยกู้ยืมเงินเป็นต้นไปได้
เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคําฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.
มาตรา ๑๔๒ วรรคหนึ่ง
คําบรรยายฟ้องของโจทก์แสดงให้เห็นว่า
โจทก์เข้าใจว่าจําเลยผิดนัดตั้งแต่วันที่ครบ กําหนดระยะเวลาตามหนังสือสัญญากู้เงิน
แต่ภายหลังจากครบกําหนดเวลาดังกล่าวตามหนังสือ สัญญากู้เงินแล้ว
โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาหรือเรียกให้ชําระหนี้ทั้งหมดทันที โจทก์กลับยังยินยอม รับชําระหนี้จากจําเลยโดยไม่อิดเอื้อนถือได้ว่า
โจทก์ไม่ได้ถือเอากําหนดเวลาชําระหนี้ตามสัญญา เป็นสําคัญ ดังนั้น เมื่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้ให้คําเตือนจําเลยผู้เป็นลูกหนี้แล้ว
จําเลยยังไม่ชําระหนี้ จึงจะตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา
๒๐๔ วรรคหนึ่ง และมีสิทธิ
เรียกร้องดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จําเลยชําระเงิน
๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดแก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
จําเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ดังนั้น
หากจําเลยไม่ชําระหนี้ภายในวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ก็จะตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่
๕ เมษายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
จําเลยชําระหนี้ให้แก่โจทก์โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ไปแล้วโอนเงินเข้าบัญชี
เงินฝากของ ส. แล้ว ส.
โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของ ย. ซึ่งเป็นบุคคลผู้มีอํานาจรับชําระหนี้แทนโจทก์
ซึ่งเกินกว่าจํานวนเงินต้นตามสัญญาแล้ว ต้องถือว่า
จําเลยชําระหนี้เงินต้นให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว
จําเลยไม่ต้องรับผิดชําระเงินพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง ให้แก่โจทก์อีก
คําถาม
ได้ที่ดินมือเปล่ามาโดยการส่งมอบการครอบครอง
เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมหรือไม่
และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับจํานองที่ดินดังกล่าว
โดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ได้หรือไม่
คําตอบ
มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๘๔/๒๕๖๖
ผู้ร้องเป็นบุตรจําเลย จําเลยมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิ
ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖
จําเลยนําที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑
ไปจดทะเบียนจํานองเพื่อประกันการชําระหนี้กู้ยืมแก่โจทก์
ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จําเลยชําระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่จําเลยไม่ชําระโจทก์ขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับ
คดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑
เพื่อชําระหนี้ตามคําพิพากษา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่ผู้ร้องได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทหรือไม่
เห็นว่า แม้ผู้ร้องบรรยายคําร้องขอถึงสิทธิในที่ดินพิพาทของผู้ร้องว่าได้รับการ
ยกให้จากจําเลยและมีการส่งมอบให้ผู้ร้องเข้าครอบครองทําประโยชน์โดยการทํานาปลูกพืช
หมุนเวียนและเลี้ยงสัตว์มาเป็นเวลา ๒๔ ปี แล้วก็ตาม แต่เมื่อสิทธิของผู้ร้องเป็นการได้ที่ดินพิพาทมาโดยการส่งมอบการครอบครองอันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิ
อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งหากยังมิได้จดทะเบียนผู้ร้องจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจํานองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง การที่ผู้ร้องจะอ้างการได้มาของผู้ร้องขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๓ ได้นั้น
เมื่อบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา
๕๕
ผู้ร้องจึงต้องบรรยายคําร้องขอโดยชัดแจ้งว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ตามกฎหมายแพ่งอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นด้วย
ผู้ร้องจึงจะมีสิทธินําพยานหลักฐานเข้าสืบตามข้ออ้างได้ การที่ผู้ร้องมิได้บรรยายคําร้องขอว่าโจทก์รับจํานองที่ดินตามหนังสือรับรองการ
ทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑ โดยไม่มีค่าตอบแทน หรือไม่สุจริต
หรือไม่ได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต
จึงไม่มีประเด็นที่ผู้ร้องจะนําพยานเข้าสืบเป็นข้อต่อสู้โจทก์เพื่อให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว
คดีจึงต้องฟังว่าโจทก์รับจํานองที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์
เลขที่ ๓๑ โดยเสีย ค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว
ผู้ร้องจะอ้างสิทธิครอบครอง
ในที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑ ที่ผู้ร้องได้มาโดยการส่งมอบการครอบครองแต่ยังมิได้จดทะเบียนการได้มานั้นขึ้นยันโจทก์ไม่ได้
ส่วนผู้ร้องฎีกาว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ไม่อาจนํามาใช้บังคับกับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่านั้น เห็นว่า แม้ที่ดินพิพาทไม่มีหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์มีเพียงสิทธิครอบครอง จึงอาจโอนได้โดยการส่งมอบการครอบครองตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๙ ถึงมาตรา ๑๓๘๐ ก็ตาม แต่เมื่อการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทตามที่ผู้ร้องอ้างเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม จึงต้องอยู่ในบังคับมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ด้วย