เนติบัณฑิต เก็งเนติ เตรียมสอบ เนติบัณฑิต ภาค1-2 สมัยปัจจุบัน

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

เก็ง ทบทวนประเด็นกฎหมายที่น่าออกสอบ เนติฯ วิชา กฎหมาย แพ่ง ข้อ8 สมัยที่ 77ชุดที่ 2



ทบทวนประเด็นกฎหมายที่น่าออกสอบ เนติฯ

วิชา กฎหมาย แพ่ง ข้อ8 สมัยที่ 77ชุดที่ 2



คำถาม ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายขณะที่ลูกหนี้ยังไม่ผิดนัดผิดสัญญา หน้าที่และความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันจะเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทหรือไม่

.
คำตอบ
1. สัญญาค้ำประกันก็หาได้ระงับไปเพราะความตายของผู้ค้ำประกัน
2. สิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ตามสัญญาค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันทำกับผู้ให้กู้จึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1600
3.เป็นทายาทย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ค้ำประกันผู้ตาย แต่ไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601
 

มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1268/2555 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2536 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากโจทก์จำนวน 50,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี และจะผ่อนชำระคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี โดยงวดแรกชำระภายในวันที่ 1 มีนาคม 2537 เป็นเงิน 2,854.80 บาท และจำเลยชำระงวดต่อไปภายในวันที่1ของทุกเดือน เดือนละ 2,800 บาท จนกว่าจะครบถ้วนตามสัญญารวม 20 งวด งวดสุดท้ายจะชำระวันที่ 1 ตุลาคม 2538 เป็นเงิน 3,115.52 บาท โดยมีระยะเวลาปลอดหนี้ 4 เดือนแรก หากจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดหรือกระทำผิดระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรม ว่าด้วยเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย พ.ศ. 2525 ให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันที และจำเลยที่ 1 จะต้องชำระต้นเงินทั้งหมดที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยคืนให้โจทก์ทันทีโดยมิต้องรอให้การชำระหนี้รายนี้ถึงกำหนด และต้องใช้ค่าเสียหายต่าง ๆให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น โดยมีจำเลยที่ 2 และดาบตำรวจพีระพลทำสัญญาค้ำประกันโดยยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้และล่วงพ้นระยะเวลาปลอดหนี้ 4 เดือนแล้ว จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนเพียง 14 งวด รวมเป็นเงิน 49,594 บาท อันเป็นการชำระดอกเบี้ยและต้นเงินบางส่วน โดยชำระงวดที่ 14 เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 ซึ่งมีจำนวนเงินไม่เพียงพอและไม่ตรงตามวันที่กำหนดในตารางกำหนดการชำระเงินท้ายสัญญากู้อันเป็นการประพฤติผิดสัญญาที่ให้ไว้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอผ่อนผันชำระหนี้ออกไปอีกเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ส่วนดาบตำรวจพีระพลถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2544
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 3 ในฐานะทายาทของดาบตำรวจพีระพลผู้ค้ำประกันซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วจะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ ปัญหานี้ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยทำนองเดียวกันว่า ขณะที่ดาบตำรวจพีระพลถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดสัญญา ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันของดาบตำรวจพีระพลจึงยังไม่เกิด สัญญาค้ำประกันเป็นสิทธิเฉพาะของผู้ค้ำประกันไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทนั้น เห็นว่า ค้ำประกันเป็นสัญญาที่ผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันหาได้มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติต่อเจ้าหนี้โดยอาศัยความสามารถหรือคุณสมบัติบางอย่างซึ่งต้องกระทำเป็นการเฉพาะตัวไม่ ผู้ค้ำประกันมีความผูกพันต้องชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ อันเป็นความผูกพันในทางทรัพย์สินเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อดาบตำรวจพีระพลทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหนี้อันสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681 วรรคหนึ่ง แม้ศาลล่างทั้งสองจะฟังข้อเท็จจริงว่าขณะที่ดาบตำรวจพีระพลถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ผู้กู้ยังไม่ผิดสัญญาหรือผิดนัดก็ตาม สัญญาค้ำประกันก็หาได้ระงับไปเพราะความตายของดาบตำรวจพีระพลไม่ สิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ตามสัญญาค้ำประกันที่ดาบตำรวจพีระพลทำกับโจทก์จึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1600 จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของดาบตำรวจพีระพลผู้ตาย แต่ไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601
.
หมายเหตุ เคยมีคำพิพากษาฎีกาที่ 6023/2538 วินิจฉัยไว้ดังนี้
.
จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนของโจทก์และทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องกลับมารับราชการชดใช้ทุน หากผิดสัญญายอมชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับแก่โจทก์โดยมี ก. เป็นผู้ค้ำประกัน ดังนี้เมื่อปรากฏว่า ก. ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายลงในระหว่างเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัด จึงยังไม่มีหนี้ของ ก. ที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้ สัญญาค้ำประกันของ ก. ที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาท จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ซึ่งเป็นทายาท ก. จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
.
มีข้อสังเกตว่า ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1268/2555 นั้น ผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมด้วย

 

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต ภาค 1 สมัยที่ 77 (เล่มที่ 2)


บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต ภาค ๑ สมัยที่ ๗๗ (เล่มที่ ๒)


คําถาม ผู้รับจ้างทําหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างตามสัญญาจ้างให้แก่ ผู้ให้บริการส่งวัสดุก่อสร้างทั้งหมดเพียงผู้เดียว และต่างมีหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้อง ไปยังผู้ว่าจ้างแล้ว หากผู้รับจ้างมีหนังสือถึงผู้ว่าจ้างขอเปลี่ยนแปลงผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างตามสัญญาจากเดิมที่เป็นผู้ให้บริการส่งวัสดุก่อสร้างกลับมาเป็นผู้รับจ้างเช่นเดิม โดยไม่มีการแจ้งให้ผู้ให้บริการส่งวัสดุก่อสร้างทราบ เป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่

คําตอบ มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

คําพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๕๒/๒๕๖๖ การหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ผู้กระทําความผิดจะต้องได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามด้วย

หนังสือบันทึกข้อตกลงโอนสิทธิการรับเงินแผ่นที่ ๒ มีระบุข้อความไว้ในข้อ ๓ ให้เข้าใจได้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างที่จําเลยที่ ๑ จะได้รับจากทางราชการตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑/๒๕๖๑ จํานวน ๘,๒๑๐,๐๐๐ บาท ไปเป็นของโจทก์มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการประกันหนี้และ เพื่อชําระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างที่จําเลยที่ ๑ มีอยู่แก่โจทก์ หากเงินที่โจทก์ได้รับจากทางราชการไม่เพียงพอแก่การชําระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้าง จําเลยที่ ๑ ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องชําระให้แก่โจทก์จน ครบถ้วน แต่หากมีส่วนที่เหลืออยู่ โจทก์ก็จะคืนให้แก่จําเลยที่ ๑ ดังนี้ บ่งชี้ว่า เหตุที่โจทก์ยอมส่ง วัสดุก่อสร้างให้แก่จําเลยที่ ๑ นําไปใช้ก่อสร้างตามสัญญาที่ทําไว้กับทางราชการก่อนโดยยังไม่ต้อง ชําระราคาก็เพราะจําเลยที่ ๑ ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างที่มีอยู่แก่ทางราชการให้แก่ โจทก์ทั้งหมดแล้ว อันเป็นหลักประกันว่าโจทก์จะได้รับการชําระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างที่โจทก์ให้การ สนับสนุนจําเลยที่ ๑ อย่างแน่นอน ฉะนั้น หากจะฟังว่าจําเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์ โดยมีเจตนาตั้งแต่แรกที่จะไม่โอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างให้โจทก์ด้วยการบิดพลิ้ว เปลี่ยนแปลงการโอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าจ้างที่เป็นของโจทก์กลับคืนมาเป็นของจําเลยดังเดิม ในภายหลังตามที่โจทก์บรรยายมาในคําฟ้องจริง ก็เห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะจําเลยทั้งสองประสงค์ที่จะได้รับวัสดุก่อสร้างจากโจทก์มาใช้ในการทํางานโดยทุจริตด้วยการไม่ชําระราคา ให้แก่โจทก์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เงินค่าจ้างของจําเลยที่ ๑ อันโจทก์ควรได้รับจากสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องจึงเป็นเพียงสิทธิของโจทก์มีอยู่เหนือทางราชการซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นลูกหนี้ของจําเลยที่ ๑ ในอันจะต้องชําระเงินค่าจ้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ หาใช่เป็นทรัพย์สินอันจําเลยที่ ๑ ได้ไปจากโจทก์โดยตรงจากผลการหลอกลวงของจําเลยทั้งสองไม่ ทั้งยังถือไม่ได้ด้วยว่าเป็นทรัพย์สินอันจําเลยที่ ๑ ได้ไปจากทางราชการซึ่งเป็นบุคคลที่สามจากการหลอกลวงโจทก์ เพราะการที่ทางราชการจ่ายเงินค่าจ้างในงวดงานที่ ๔ ถึง ๗ ให้แก่จําเลยที่ ๑ ไปจํานวน ๔,๑๐๕,๐๐๐ บาท เป็นผลสืบเนื่องมาจากจําเลยที่ ๑ มีหนังสือเปลี่ยนแปลงการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าจ้างกลับคืน มาเป็นของจําเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับทางราชการมาแต่แรกเป็นสําคัญ หาได้มีการหลอกลวง ใด ๆ ไม่ และแม้การกระทําดังกล่าวเป็นการกระทําโดยมิชอบ ทําให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหาย เพราะการโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์กับจําเลยที่ ๑ เกิดขึ้นสําเร็จครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา ๓๐๖ แล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องไปว่ากล่าว ดําเนินการแก่จําเลยทั้งสองเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากต่อไป เมื่อเงินค่าจ้างในงวดงานที่ ๔ ถึง ๗ ซึ่งจําเลยที่ ๑ รับไปจากทางราชการ มิใช่ทรัพย์สินที่จําเลยที่ ๑ ได้รับมาจากการที่จําเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์เสียแล้ว การกระทําของจําเลยทั้งสองจึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ไม่เป็นความผิด

 

คําถาม การนําสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารว่าผู้กู้ชําระหนี้ด้วยการโอนเงินหรือ ฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากของผู้มีอํานาจรับชําระหนี้แทนผู้ให้กู้ ว่ามีการชําระเงินกู้ให้แก่ผู้ให้กู้แล้ว ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่

สัญญากู้เงินมีข้อตกลงให้ผู้กู้ชําระดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ แต่ไม่ได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยไว้ ผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยอัตราเท่าใดและเริ่มคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เมื่อใด

คําตอบ มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๙๖/๒๕๖๕ จําเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์หรือหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืน หรือแทงเพิกถอนเป็นพยานหลักฐานในคดี จึงต้องห้ามมิให้นําสืบเรื่องการใช้เงินชําระหนี้กู้ยืม จึงไม่อาจรับฟังคําเบิกความของจําเลยที่อ้างตนเองเป็นพยานว่า จําเลยชําระหนี้เป็นเงินสด แก่โจทก์เป็นพยานหลักฐานได้ เพราะต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวและ ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔ อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติดังกล่าวห้ามการนําสืบเฉพาะกรณีการใช้เงิน ไม่ห้ามการนําสืบกรณีการชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๒๑ วรรคหนึ่ง ซึ่งการนําสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารว่าจําเลยชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๒๑ วรรคหนึ่ง ไม่ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคสอง และ ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔ (ก)

จําเลยโอนเงินหรือฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากของ ส. เพื่อชําระหนี้แก่โจทก์แล้ว ส. โอนเงิน ดังกล่าวทั้งหมดเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์โดยโจทก์ยินยอมรับเงินที่ ส. โอนเข้าบัญชีเงินฝากของ โจทก์ ซึ่งเป็นการชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๒๑ วรรคหนึ่ง และจําเลยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของ ย. ผู้มีอํานาจรับชําระหนี้แทนโจทก์ เพื่อชําระหนี้แก่โจทก์ ถือได้ว่าจําเลยชําระหนี้จํานวนดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๑๕

หนังสือสัญญากู้เงินมีข้อตกลงให้จําเลยชําระดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่ไม่ได้ตกลงอัตรา ดอกเบี้ยไว้ ซึ่งตามปกติแล้วจําเลยต้องชําระดอกเบี้ย ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗ ซึ่งขณะทําสัญญา อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่จําเลยกู้ยืมเงินเป็นต้นไป ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องเรียกร้อง ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไป ศาลจึงต้องพิพากษาให้จําเลยชําระดอกเบี้ยนับแต่วันที่จําเลยผิดนัดเป็นต้นไป ไม่อาจพิพากษาให้จําเลยชําระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ จําเลยกู้ยืมเงินเป็นต้นไปได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคําฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ วรรคหนึ่ง

คําบรรยายฟ้องของโจทก์แสดงให้เห็นว่า โจทก์เข้าใจว่าจําเลยผิดนัดตั้งแต่วันที่ครบ กําหนดระยะเวลาตามหนังสือสัญญากู้เงิน แต่ภายหลังจากครบกําหนดเวลาดังกล่าวตามหนังสือ สัญญากู้เงินแล้ว โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาหรือเรียกให้ชําระหนี้ทั้งหมดทันที โจทก์กลับยังยินยอม รับชําระหนี้จากจําเลยโดยไม่อิดเอื้อนถือได้ว่า โจทก์ไม่ได้ถือเอากําหนดเวลาชําระหนี้ตามสัญญา เป็นสําคัญ ดังนั้น เมื่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ได้ให้คําเตือนจําเลยผู้เป็นลูกหนี้แล้ว จําเลยยังไม่ชําระหนี้ จึงจะตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๐๔ วรรคหนึ่ง และมีสิทธิ เรียกร้องดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง

โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จําเลยชําระเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดแก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จําเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ดังนั้น หากจําเลยไม่ชําระหนี้ภายในวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ก็จะตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป

จําเลยชําระหนี้ให้แก่โจทก์โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ไปแล้วโอนเงินเข้าบัญชี เงินฝากของ ส. แล้ว ส. โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของ ย. ซึ่งเป็นบุคคลผู้มีอํานาจรับชําระหนี้แทนโจทก์ ซึ่งเกินกว่าจํานวนเงินต้นตามสัญญาแล้ว ต้องถือว่า จําเลยชําระหนี้เงินต้นให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จําเลยไม่ต้องรับผิดชําระเงินพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง ให้แก่โจทก์อีก


คําถาม ได้ที่ดินมือเปล่ามาโดยการส่งมอบการครอบครอง เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมหรือไม่ และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับจํานองที่ดินดังกล่าว โดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ได้หรือไม่

คําตอบ มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๘๔/๒๕๖๖ ผู้ร้องเป็นบุตรจําเลย จําเลยมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิ ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑ ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ จําเลยนําที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑ ไปจดทะเบียนจํานองเพื่อประกันการชําระหนี้กู้ยืมแก่โจทก์ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จําเลยชําระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่จําเลยไม่ชําระโจทก์ขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับ คดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑ เพื่อชําระหนี้ตามคําพิพากษา

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่ผู้ร้องได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ร้องบรรยายคําร้องขอถึงสิทธิในที่ดินพิพาทของผู้ร้องว่าได้รับการ ยกให้จากจําเลยและมีการส่งมอบให้ผู้ร้องเข้าครอบครองทําประโยชน์โดยการทํานาปลูกพืช หมุนเวียนและเลี้ยงสัตว์มาเป็นเวลา ๒๔ ปี แล้วก็ตาม แต่เมื่อสิทธิของผู้ร้องเป็นการได้ที่ดินพิพาทมาโดยการส่งมอบการครอบครองอันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งหากยังมิได้จดทะเบียนผู้ร้องจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจํานองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง การที่ผู้ร้องจะอ้างการได้มาของผู้ร้องขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๓ ได้นั้น เมื่อบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา ๕๕ ผู้ร้องจึงต้องบรรยายคําร้องขอโดยชัดแจ้งว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ตามกฎหมายแพ่งอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นด้วย ผู้ร้องจึงจะมีสิทธินําพยานหลักฐานเข้าสืบตามข้ออ้างได้ การที่ผู้ร้องมิได้บรรยายคําร้องขอว่าโจทก์รับจํานองที่ดินตามหนังสือรับรองการ ทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑ โดยไม่มีค่าตอบแทน หรือไม่สุจริต หรือไม่ได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จึงไม่มีประเด็นที่ผู้ร้องจะนําพยานเข้าสืบเป็นข้อต่อสู้โจทก์เพื่อให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว

คดีจึงต้องฟังว่าโจทก์รับจํานองที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑ โดยเสีย ค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ผู้ร้องจะอ้างสิทธิครอบครอง ในที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน์ เลขที่ ๓๑ ที่ผู้ร้องได้มาโดยการส่งมอบการครอบครองแต่ยังมิได้จดทะเบียนการได้มานั้นขึ้นยันโจทก์ไม่ได้

          ส่วนผู้ร้องฎีกาว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ไม่อาจนํามาใช้บังคับกับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่านั้น เห็นว่า แม้ที่ดินพิพาทไม่มีหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์มีเพียงสิทธิครอบครอง จึงอาจโอนได้โดยการส่งมอบการครอบครองตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๙ ถึงมาตรา ๑๓๘๐ ก็ตาม แต่เมื่อการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทตามที่ผู้ร้องอ้างเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม จึงต้องอยู่ในบังคับมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ด้วย 




บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต เล่มที่1 ภาค1 สมัยที่ 77

 บทบรรณาธิการเนติบัณฑิต  ภาค ๑ สมัยที่ ๗๗ (เล่มที่๑)


คําถาม วางเพลิงเผาโรงเรือนของผู้อื่น มิใช่ของตนเอง จะเป็นความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๐ วรรคสอง อีกบทหนึ่ง นอกจากความผิดตามมาตรา ๒๑๘ (๑) ด้วยหรือไม่

คําตอบ มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๔๓/๒๕๖๖ จําเลยวางเพลิงเผาโรงเรือนเลขที่ ๔๑... ของนางสาว ป. ผู้เสียหายซึ่งเป็นมารดา จําเลยทําให้เพลิงไหม้โรงเรือนดังกล่าวทั้งหลัง อุปกรณ์เครื่องมือการเกษตร อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องนอนและตู้เสื้อผ้า ซึ่งเป็นของผู้เสียหายในโรงเรือนดังกล่าวรวมค่าเสียหายทั้งสิ้น ๒๖๐,๐๐๐ บาท

คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยประการแรกว่า การกระทําของจําเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๐ อีกบทหนึ่ง หรือไม่

เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๒๐ วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทํา ให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ...” บทบัญญัติดังกล่าว หาได้หมายความว่า วัตถุใด ๆ ที่ถูก กระทําให้เกิดเพลิงไหม้นั้นจะต้องเป็นของผู้กระทําให้เกิดเพลิงไหม้เท่านั้น แต่ หมายความรวมถึงวัตถุใด ๆ ของบุคคลอื่นด้วย ดังนั้น วัตถุใด ๆ ที่ถูกกระทําให้เกิดเพลิงไหม้ไม่ว่าจะเป็นของผู้อื่นหรือเป็นของผู้กระทําให้เกิดเพลิงไหม้ก็เข้าองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ การที่จําเลยกระทําให้เกิดเพลิงไหม้นั้น ทําให้โรงเรือนของผู้เสียหายไหม้หมดทั้งหลัง ย่อมเห็นได้ว่าน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่นตามฟ้อง เมื่อ วัตถุใด ๆ ที่จําเลยกระทําให้เกิดเพลิงไหม้เป็นโรงเรือนของผู้เสียหาย การกระทําของจําเลย จึงเป็นความผิดตามมาตรา ๒๒๐ วรรคสอง อีกบทหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา ๒๑๘ (๑) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตาม มาตรา ๒๒๐ วรรคสอง อีกบทหนึ่ง เป็นการกระทําอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา ๒๑๘ (๑) ซึ่งมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๑๘ (๑) จึงชอบแล้ว

 

คําถาม จดทะเบียนโอนขายที่ดินโดยมิได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง บุคคลภายนอกซึ่งรับโอนที่ดินดังกล่าวต่อมาจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและมีอํานาจฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากที่ดิน หรือไม่

คําตอบ มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

คําพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๓๖/๒๕๖๖ จําเลยยินยอมจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาท ให้แก่ น. เพื่อเป็นการช่วยเหลือครอบครัว น. ให้นําที่ดินพิพาทพร้อมบ้านพักอาศัยไปจํานอง แก่ธนาคารเพื่อนําเงินมาใช้ในการลงทุน โดยมิได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง การทํานิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมบ้านระหว่างจําเลยกับ น. เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กัน ระหว่างจําเลยกับ น. นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมบ้านย่อมตกเป็นโมฆะกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕

โจทก์ทั้งสองรู้เห็นว่าจําเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทกับ น. โดยจําเลย เคยเตือนโจทก์ทั้งสองมิให้ทํานิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทพร้อมบ้านซึ่งจําเลยยังพักอาศัย ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์ทั้งสองกลับทํานิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทจาก น. ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทําการโดยสุจริตซึ่งต้องเสียหายอันเกิดแต่การแสดงเจตนาลวง โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  ๑๕๕ เมื่อการทําสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทและบ้านระหว่างจําเลยกับ น. เป็น โมฆะกรรม น. ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพร้อมบ้าน โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอน ต่อจาก น. ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน โจทก์ทั้งสองไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทพร้อมบ้าน ไม่มีอํานาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจําเลย

 

คําถาม สัญญาจํานองเป็นประกันการกู้ยืมเงินและถือสัญญาจํานองเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน ระบุว่าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี แต่ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้อัตรา ร้อยละ ๒ ต่อเดือน ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง ดังนี้ ผู้ให้กู้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาจํานองหรือไม่

คําตอบ มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

คําพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๔๓/๒๕๖๖ แม้สัญญาจํานองที่ดินพิพาทระหว่าง อ. กับ โจทก์จะระบุว่าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถเรียกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๔ ก็ตาม แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจาก อ. ร้อยละ ๒ ต่อเดือน ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง ซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดฝ่าฝืน พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ (๑) มีผลทําให้ข้อตกลงในส่วนของดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง แต่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ฟ้องขอบังคับจํานองโดยเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง แต่ศาลเห็นว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในสัญญาจํานอง ดอกเบี้ยตามสัญญาจํานองจึงตกเป็นโมฆะ แต่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ ยังถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์นําคดีมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ยังคงมีสิทธิบังคับจํานองโดยยึดทรัพย์จํานองออกขายทอดตลาดชําระหนี้ต้นเงินที่เหลือ พร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันผิดนัดได้

หนังสือสัญญาจํานองที่ดินระบุว่า จํานองเป็นประกันการกู้ยืมเงินและถือสัญญาจํานองเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน ตกลงนําส่งดอกเบี้ยเดือนละครั้ง โดยไม่ได้กําหนดเวลาชําระหนี้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทินไว้ โจทก์จึงต้องมีหนังสือบอกกล่าวกําหนดเวลาให้จําเลย ซึ่งเป็นลูกหนี้ชําระหนี้เสียก่อน หากจําเลยไม่ชําระภายในเวลาที่กําหนด จึงจะถือว่าจําเลยผิดนัด

โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจําเลยให้ชําระหนี้ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าว จําเลยได้รับหนังสือบอกกล่าววันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จําเลยชอบที่จะชําระหนี้เพื่อไถ่ถอนจํานองภายในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒ แต่จําเลยไม่ชําระหนี้ภายในกําหนดเวลาดังกล่าวจําเลยย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันดังกล่าว

 

คําถาม หลักฐานการถอนเงินออกไปจากบัญชีแล้วโอนเข้าบัญชีบุคคลอื่น โดยไม่มี ข้อความว่า ผู้ยืมได้กู้ยืมเงินไปจากผู้ให้กู้ยืม หรือมีข้อความว่าจะใช้คืนให้โดยมีพยานบุคคล เบิกความประกอบว่าเป็นการกู้ยืมเงินกัน เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือหรือไม่

คําตอบ มีคําพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

คําพิพากษาฎีกาที่ ๔๓๐๖/๒๕๖๕ หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้อง ให้บังคับคดีหาได้ไม่ นั้น ในหนังสือดังกล่าวต้องมีข้อความให้รับฟังได้ว่าผู้ยืมได้กู้ยืมเงินไปจากผู้ให้กู้ยืมหรือมีข้อความว่าจะใช้คืนให้อันเป็นสาระสําคัญที่บ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ยืมได้กู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ยืมหรือเป็นหนี้ผู้ให้กู้ยืม หากไม่มีข้อความดังกล่าวแล้ว ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหลักฐาน แห่งการกู้ยืมเงินได้ เพราะการที่บุคคลหนึ่งมอบหรือโอนเงินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดจากการกู้ยืมกันเสมอไป อาจเป็นเรื่องการมอบหรือโอนเงินให้แก่กันด้วยมูลเหตุ อย่างอื่นก็ได้ จากหลักฐานการถอนเงินออกไปจากบัญชีโจทก์แล้วโอนเข้าบัญชีจําเลยนั้น ไม่มีข้อความใดแสดงให้เห็นว่าเงินที่โจทก์โอนเข้าบัญชีจําเลยเป็นเงินที่จําเลยได้ยืมไปจากโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์แล้วจะใช้คืนให้ในภายหลังแต่อย่างใด ดังนั้น เอกสารต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ จําเลยผู้ยืมมาแสดง โจทก์ย่อมไม่มีอํานาจฟ้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๓ วรรคหนึ่ง ซึ่งหลักฐานแห่งการกู้ยืมดังกล่าวเป็นเรื่องที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๙๔ และห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคลแทนพยานเอกสารเมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจเบิกความเพื่อให้ศาลรับฟังว่าการโอนเงินเข้าบัญชี โจทก์ดังกล่าวเป็นการกู้ยืมเงินกันได้



เก็ง ทบทวนประเด็นกฎหมายที่น่าออกสอบ เนติฯ ข้อ ๘ ครอบครัว มรดก สมัยที่ ๗๗ ชุดที่ ๑

            

เก็ง ทบทวนประเด็นกฎหมายที่น่าออกสอบ เนติฯ

วิิชา กฎหมย แพ่ง ข้อ ๘  ครอบครัว มรดก สมัยที่ ๗๗ ชุดที่ ๑


                          คำถาม  พยานในพินัยกรรมลงลายมือชื่อในพินัยกรรมโดยไม่เห็นเหตุการณ์ขณะทำพินัยกรรม แต่มาลงลายมือชื่อในภายหลัง โดยสอบถามผู้ทำพินัยกรรมและได้ความว่าผู้ทำพินัยกรรมประสงค์จะทำพินัยกรรมจริง พินัยกรรมสมบูรณ์หรือไม่

                          คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้

                        คำพิพากษาฎีกาที่ 11034/2553 บทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคแรก หมายความว่า ผู้ทำพินัยกรรมแบบที่เป็นหนังสือนั้นต้องมีพยานอย่างน้อยสองคน และพยานจะต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้นเป็นสำคัญ ทั้งบทบัญญัติกฎหมายที่ว่าผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานทั้งสองคน และพยานทั้งสองจะต้องลงลายมือชื่อรับรองในขณะนั้น เป็นบทบัญญัติที่มีความหมายชัดเจนจนกระทั่งไม่อาจจะตีความหรือแปลความหมายไปเป็นอย่างอื่นได้ ดังนั้น การที่พยานไม่ว่าคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนในพินัยกรรมลงลายมือชื่อในพินัยกรรมโดยไม่เห็นเหตุการณ์ขณะทำพินัยกรรมแต่มาลงลายมือชื่อในภายหลัง ก็ย่อมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติกฎหมายมาตราดังกล่าวและทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705 ไปในทันที แม้ต่อมาภายหลังพยานในพินัยกรรมจะมาสอบถามผู้ทำพินัยกรรมและได้ความว่าผู้ทำพินัยกรรมมีความประสงค์จะทำพินัยกรรมจริงก็ตาม ก็ไม่มีผลทำให้การลงลายมือชื่อในพินัยกรรมที่ไม่ชอบหรือพินัยกรรมที่เป็นโมฆะไปแล้วกลับกลาย เป็นการลงลายมือชื่อที่ชอบทำให้พินัยกรรมมีผลสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายไปได้


แนวการเขียนตอบข้อสอบกฎหมายแพ่งเนติฯ ⭐

1. บทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคแรก หมายความว่า ผู้ทำพินัยกรรมแบบที่เป็นหนังสือนั้นต้องมีพยานอย่างน้อยสองคน และพยานจะต้องลงลายมือชื่อรับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะนั้นเป็นสำคัญ 

2. ทั้งบทบัญญัติกฎหมายที่ว่าผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานทั้งสองคน และพยานทั้งสองจะต้องลงลายมือชื่อรับรองในขณะนั้น เป็นบทบัญญัติที่มีความหมายชัดเจนจนกระทั่งไม่อาจจะตีความหรือแปลความหมายไปเป็นอย่างอื่นได้

3.  การที่พยานไม่ว่าคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนในพินัยกรรมลงลายมือชื่อในพินัยกรรมโดยไม่เห็นเหตุการณ์ขณะทำพินัยกรรมแต่มาลงลายมือชื่อในภายหลัง ก็ย่อมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติกฎหมายมาตราดังกล่าว

4. ดังนั้น ทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1705  ทันที



เก็งแพ่ง เนติ วิชา กฎหมายกฎหมายตั๋วเงิน ข้อ 7 สมัยที่ 77 ชุดที่ 1

      


เทบทวนประเด็นกฎหมายที่น่าออกสอบ เนติฯ

วิชา กฎหมายกฎหมายตั๋วเงิน ข้อ 7 สมัยที่ 77 (เก็ง) ชุดที่ 1


                     คำถาม  ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค หากผู้ทรงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้สลักหลังเช็ค ผู้ทรงจะมีสิทธิฟ้องผู้สั่งจ่ายให้ชำระเงินตามเช็คหรือไม่

                     คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

                     คำพิพากษาฎีกาที่  2569/2551  ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่า บริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ลูกค้าของโจทก์ได้นำเช็ครวม 6 ฉบับ ซึ่งมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาทำสัญญาขายลดกับโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542 โจทก์จึงนำเช็คทั้งหกฉบับดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น วันที่ 7 กันยายน 2544 โจทก์ได้ฟ้องบริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กับพวกให้ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คจำนวน 33 ฉบับ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนอง ซึ่งมีเช็คพิพาททั้งหกฉบับ ในคดีนี้รวมอยู่ด้วย คดีดังกล่าวโจทก์และบริษัทรุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กับพวกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยบริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด กับพวกยอมชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ศาลพิพากษาตามยอม เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2544 คดีถึงที่สุดแล้ว

                      คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เมื่อบริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ตามฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายชำระเงินตามเช็คพิพาทจำนวน 6 ฉบับ ได้อีกหรือไม่

                      เห็นว่า การที่บริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด นำเช็คพิพาทไปขายลดแก่โจทก์โดยลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คมอบให้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายและบริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้สลักหลังจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 914 และมาตรา 967 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังต่อโจทก์ย่อมถือได้ว่าเป็นความผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ดังนั้น เมื่อโจทก์ทำสัญญาประนีปรนอมยอมความนั้นอันถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่อีกประการหนึ่ง โจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ชำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้บริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ชำระหนี้ในมูลหนี้ตามเช็คพิพาทได้อีก สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องต่อจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายให้รับผิดต่อโจทก์ในมูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้งหกฉบับย่อมหมดสิ้นไปด้วย ทั้งนี้เพราะสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามเช็คพิพาทของโจทก์ได้ระงับสิ้นไปแล้ว

                       ที่โจทก์ฎีกาว่า บริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และจำเลยจะต้องผูกพันในหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์อยู่จนกว่าโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ โดยสิ้นเชิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 ฉะนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้จากบริษัท รุ่งเพชรเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จำเลยจึงยังคงต้องผูกพันตามภาระหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นในฐานผู้สั่งจ่ายจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้คนใดคนหนึ่ง เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 แม้จะบัญญัติให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิง หรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิงก็ตาม เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิที่มีอยู่ตามมูลหนี้เดิมที่ลูกหนี้ทุกคนต้องร่วมรับผิด

                        หมายเหตุ เคยมีคำพิพากษาฎีกาที่ 644/2500 วินิจฉัยไว้ดังนี้

                        คำพิพากษาฎีกาที่ 644/2500  การที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 - 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 1 - 2 ยอมใช้ต้นเงิน 100,000 บาท กับดอกเบี้ยซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้เซ็นชื่อกู้เงินนี้จากโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 - 2  นั้น ไม่ทำให้จำเลยที่ 3 ซึ่งต่อสู้คดีไปคนละประเด็นกับจำเลยที่ 1 - 2 พ้นผิด เพราะการทำสัญญาประนีประนอมดังกล่าวเป็นแต่สัญญาระงับข้อพิพาท ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ไม่ใช่เป็นการที่ลูกหนี้ร่วมชำระหนี้ และไม่ใช่เป็นการปลดหนี้เพราะในสัญญาประนีประนอมนั้นมิได้ระบุให้จำเลยที่ 3 พ้นความผิด ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาคดีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 3 ต่อไป


สกัดหลักไล่สายแนวการเขียนตอบข้อสอบแพ่ง ⭐

 1. ผู้สลักหลัง ต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 914 และมาตรา 967 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 

2. ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังต่อผู้ทรงย่อมถือได้ว่าเป็นความผิดอย่างลูกหนี้ร่วม 

3. เมื่อผู้ทรงทำสัญญาประนีปรนอมยอมความนั้นอันถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่อีกประการหนึ่ง

4. ผู้ทรงคงมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้สลักหลัง ชำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้ผู้สลักหลัง ชำระหนี้ในมูลหนี้ตามเช็คพิพาทได้อีก 

5. สิทธิของผู้ทรงที่จะเรียกร้องต่อผู้สั่งจ่ายให้รับผิดต่อผู้ทรงในมูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้งหกฉบับย่อมหมดสิ้นไปด้วย ทั้งนี้เพราะสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ตามเช็คพิพาทของผู้ทรงได้ระงับสิ้นไปแล้ว



https://www.lawsiam.com/?name=Thaibar1-Pang



วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เจาะประเด็น เก็ง ท่องพร้อมสอบเนติฯ : แพ่ง ข้อ 2 นิติกรรม สัญญา หนี้ สมัยที่ 77(ชุดที่ 1)

เจาะประเด็น เก็ง ท่องพร้อมสอบ

กลุ่มวิชา กฎหมาย แพ่ง ข้อ 2 นิติกรรม สัญญา หนี้ สมัยที่ 77 (ชุดที่ 1)


                   คำถาม  ขณะทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างรับเหมาก่อสร้างที่จะได้รับ เจ้าหนี้ผู้โอนยังไม่ได้เริ่มงานก่อสร้างตามที่ชนะการประมูล ถือว่าสิทธิเรียกร้องดังกล่าวอยู่ในสภาพเปิดช่องให้โอนกันได้หรือไม่

                  คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้

                  คำพิพากษาฎีกาที่  7790/2554  เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548 จำเลยที่ 1 ประมูลงานรับเหมาก่อสร้างลานกีฬาขององค์การบริหารส่วนตำบลเวียงชัยได้ ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยที่ 1  ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างที่จะได้รับจากองค์การบริหารส่วนตำบลเวียงชัยให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดส่งวัสดุก่อสร้างให้จำเลยที่ 1 หลังจากนั้นวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 องค์การบริหารส่วนตำบลเวียงชัยทำสัญญากับจำเลยที่ 1 โดยกำหนดให้เริ่มทำงานภายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2549 และกำหนดทำงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 เมษายน 2549 หลังจากนั้นโจทก์ขอบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 26 ตุลาคม 2549 แจ้งอายัดเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลเวียงชัย

                   คดีนี้มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องประการแรกว่า หนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินใช้บังคับได้หรือไม่  เห็นว่า แม้ขณะจำเลยที่ 1 ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องนั้น จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เริ่มงานก่อสร้างลานกีฬาให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลเวียงชัยก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 ชนะการประมูลงานก่อสร้างลานกีฬาดังกล่าวตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 จึงย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ได้สิทธิในการดำเนินงานก่อสร้างและรับเงินค่าก่อสร้างนั้นด้วยเมื่อทำงานแล้วเสร็จ สิทธิดังกล่าวจึงอยู่ในสภาพเปิดช่องให้โอนกันได้แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 303 ส่วนองค์การบริหารส่วนตำบลเวียงชัยจะกำหนดให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างตามแบบของทางราชการและเริ่มงานก่อสร้างกันเมื่อใด หาใช่สาระสำคัญไม่ เมื่อนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเวียงชัยเขียนข้อความลงในหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องว่า “ ได้รับทราบและยินยอมในการโอนสิทธิดังกล่าวข้างต้นแล้ว"  พร้อมกับลงลายมือชื่อและประทับตราองค์การบริหารส่วนตำบลเวียงชัย ก็เพียงพอที่จะถือว่าองค์การบริหารส่วนตำรบเวียงชัยลูกหนี้ได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้นตามมาตรา 306 วรรคหนึ่ง เมื่อการโอนสิทธิเรียกร้องปฏิบัติครบถ้วนตามบทบัญญัติของกฎหมาย สิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างก่อสร้างจึงตกเป็นของผู้ร้องแล้ว และเมื่อไม่ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์เลยว่า ขณะโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวผู้ร้องได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขออายัดเงินดังกล่าวได้


เจาะหลักแนวการเขียนตอบข้อสอบเนติฯ (แพ่ง) ⭐

 1. แม้ขณะทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องนั้น  เจ้าหนี้ผู้โอนยังไม่ได้เริ่มงานก่อสร้าง ก็ตาม 

2.  แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้โอน ชนะการประมูลงานก่อสร้างดังกล่าว  จึงย่อมทำให้ผู้โอน ได้สิทธิในการดำเนินงานก่อสร้างและรับเงินค่าก่อสร้างนั้นด้วยเมื่อทำงานแล้วเสร็จ สิทธิดังกล่าวจึงอยู่ในสภาพเปิดช่องให้โอนกันได้แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 303



https://www.lawsiam.com/?name=Thaibar1-Pang

เก็งอาญา เนติ ข้อ 2-3 สมัยที่ 77 ชุดที่4

 


ทบทวนประเด็นกฎหมายที่น่าออกสอบ เนติฯ

วิิชา กฎหมาย อาญา ข้อ ๒-๓ สมัยที่ ๗๗ ชุดที่ ๔


ประเด็นข้อสอบ ที่ว่า “ประมาท” หรือไม่ ต้องเขียนอธิบาย และพิจารณา ....

          ๑. ภาวะ

          ๒. วิสัย และ

          ๓. พฤติการณ์


ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ

          ฎีกาที่ ๑๙๖๑/๒๕๒๘ วินิจฉัยว่า บุคคลที่ตกอยู่ในภาวะวิสัยและพฤติการณ์ที่กําลังหนีภัยจากการถูกกลุ้มรุมทําร้ายเช่นจําเลยในขณะนั้น ย่อมจะเกณฑ์ให้มีความระมัดระวังเหมือนอย่างบุคคลธรรมดาย่อมไม่ได้อยู่เอง 


๑. การที่ถูกคนร้ายเอาปืนจ่อหัว คนร้ายสั่งให้ขับรถด้วยความเร็วสูง

         การที่คนขับรถแท็กซี่ถูกคนร้าย เอาปืนจี้หัว สั่งให้ขับรถด้วยความเร็วสูง ในเวลากลางคืน แล้วคนร้ายบังคับคนขับ แท็กซี่ด้วยว่าอย่าเปิดไฟหน้ารถ คนขับรถแท็กซี่คือดำกลัวตาย ก็ทําตามที่คนร้ายสั่ง รถที่คนขับแท็กซี่ขับไปก็ไปชนนายขาว ขาวตาย ภาวะ วิสัยและพฤติการณ์ อย่างนี้ คงจะต้องวินิจฉัยว่า ดำไม่ประมาท


๒. มีคนร้ายวิ่งไล่ตามจะทําร้ายจําเลย จําเลยวิ่งหนี โดยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้า ๑ นัด แล้วปืน ไปลั่นถูกผู้เสียหาย ผู้เสียหายตาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จําเลยไม่ประมาท 



คำบรรยายเนติ วิชา กฎหมายอาญา ม.๕๙-๑๐๖ อ.เกียรติขจรฯ เล่มที่ ๓ สมัยที่ ๗๗



เก็ง เนติ กลุ่มอาญา ข้อ 2-3 สมัยที่ 77 ชุดที่3

                     

เก็ง เนติ กลุ่มอาญา ข้อ 2-3 สมัยที่ 77 ชุดที่ 3


                     คำถาม  สามีเห็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายนอนหนุนตักชายอื่นและกอดจูบกันโดยยังไม่มีการร่วมประเวณีกัน สามีใช้มีดแทง จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

                     คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้

                     คำพิพากษาฎีกาที่  3583/2555 จ. เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ซึ่งจำเลยมีสิทธิตามกฎหมายที่กระทำการป้องกันเกียรติยศชื่อเสียงของตน โดยมิให้ชายอื่นมามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับภรรยาของตนได้ แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยพบเห็น จ. นอนหนุนตักผู้ชายและกอดจูบกันโดยยังไม่มีการร่วมประเวณีกัน และผู้ตายกระทำต่อ จ. ก็เป็นไปโดย จ. สมัครใจยินยอม พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากประทุษอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ซึ่งจำเลยจำต้องกระทำการป้องสิทธิ แต่การที่ผู้ตายกับ จ. กอดจูบกัน นับเป็นการกระทำที่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยเห็นเหตุการณ์ย่อมเหลือวิสัยของจำเลยที่จะอดกลั้นโทสะไว้ได้ การที่จำเลยเข้าไปชกต่อยผู้ตายแล้วใช้มีดปอดผลไม้ที่วางอยู่ใกล้ตัวแทงผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72


แนวการเขียนตอบข้อสอบเนติฯ ⭐

1. ประเด็น ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

           ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย นอนหนุนตักผู้ชายและกอดจูบกันโดยยังไม่มีการร่วมประเวณีกัน และผู้ตายกระทำต่อภริยา ก็เป็นไปโดย ภริยาสมัครใจยินยอม 

          ดังนั้น พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากประทุษอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ซึ่งจำต้องกระทำเพื่อป้องสิทธิ ตามมาตรา ๖๘


2. ประเด็น อ้างบันดาลโทสะ ได้หรือไม่

         แต่การกอดจูบกัน นับเป็นการกระทำที่ข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อสามีเห็นเหตุการณ์ย่อมเหลือวิสัยของสามีที่จะอดกลั้นโทสะไว้ได้ การที่เข้าไปชกต่อยผู้ตายแล้วใช้มีดปอดผลไม้ที่วางอยู่ใกล้ตัวแทงผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา 

       การกระทำดังกล่าว จึงเป็นการข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม อันเป็นกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72


https://www.lawsiam.com/?name=Thaibar1-Aya


วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เก็ง เนติ ภาค1 กลุ่มอาญา ข้อ 2-3 สมัยที่ 77 ชุดที่ 2

 

เก็ง เนติ ภาค ๑ กลุ่มอาญา 

ข้อ ๒- ๓ สมัยที่ ๗๗ ชุดที่ ๒

---------------------


ประเด็น : บิดา “ฆ่า” บุตรผู้เยาว์เป็นการ “ฆ่า” โดย “งดเว้น” โดยมี “บุคคลอื่นร่วมกระทำความผิดด้วย”

ตัวอย่าง นายแดงและนางขาววางแผนฆ่าเด็กหญิงดําบุตรผู้เยาว์ของนายแดง แต่ยังหาโอกาสไม่ได้ วันหนึ่งนายแดงและนางขาวไปเดินเที่ยวเล่นด้วยกัน เห็นเด็กหญิงดําซึ่งพลัดตกลงไปในสระน้ำกําลังจะจมน้ำตาย นายแดงและนางขาวช่วยได้ แต่ไม่ช่วยเมื่อเห็นนายเขียวพลเมืองดีเดินมา นางขาวก็หลอกให้เดินไปทางอื่น ในที่สุด เด็กหญิงดําก็จมน้ำตาย

ดังนี้ นายแดง “ฆ่า” เด็กหญิงดํา เป็นการฆ่าโดยการกระทำโดย “งดเว้น” (ไม่ต่างไปจากใช้ปืนยิงเด็กหญิงดํา) จึงมีความผิดตามมาตรา ๒๘๙ (๔) โดยนางขาว มีความผิดฐานเป็น “ตัวการ” ตามมาตรา ๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา ๘๓ (หมายเหตุ นอกเหนือไปจากความผิดฐานไม่ช่วยตามมาตรา ๓๗๔ ซึ่งเป็นการกระทำโดย “ละเว้น”)

ข้อสังเกต แม้นางขาวจะมิใช่มารดาของเด็กหญิงดํา นางขาวก็เป็น “ตัวการ" ในความผิดตามมาตรา ๒๘๙ (๔) ได้ ตามหลักที่ว่า “ตัวการอิงความผิดของผู้ลงมือ”


 คำบรรยายเนติ วิชา กฎหมายอาญา ม. ๕๙ - ๑๐๖  อ.เกียรติขจรฯ เล่มที่ ๒  สมัยที่ ๗๗

https://www.lawsiam.com/?name=Thaibar1-Aya

เก็งเนติ ภาค1 กลุ่มอาญา ข้อ 2-3 สมัยที่ 77

 

เก็งเนติ ภาค1 กลุ่มอาญา สมัยที่ 77

 ข้อ 2-3 


กระทำโดย “ประมาท” (ตามมาตรา ๕๙ วรรคสี่) + การกระทำโดยงดเว้น

กรณีที่เป็นการกระทำโดย “ประมาท” (ตามมาตรา ๕๙ วรรคสี่) เช่น มาตรา ๓๐๐ ธงคำตอบ เนติฯ สมัย ๗๒ ข้อ ๓ มีข้อความ ดังนี้

นางสาวหนึ่งและนางสาวสองรับหน้าที่เป็นคนดูแลเด็กหญิงมะลิ จึงมีหน้าที่ โดยเฉพาะที่จะต้องป้องกันไม่ให้เด็กหญิงมะลิได้รับอันตราย การร่วมกันเล่มเกมทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ทำให้เด็กหญิงมะลิคลานไปตกท่อนํ้าข้างสนามหญ้าได้รับอันตรายสาหัส เป็นการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้อง กระทำเพื่อป้องกันผลนั้น จึงเป็นการกระทำโดยงดเว้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคท้าย เมื่อเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคล ในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จึงเป็นการกระทำโดยประมาท ตามมาตรา ๕๙ วรรคสี่ ทั้งสองคนจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสตามมาตรา ๓๐๐ โดยถือว่าต่างคนต่างประมาท มิได้เป็นตัวการร่วมกัน เพราะมิใช่เป็นการกระทำความผิดโดยเจตนา

หลักเกณฑ์ที่สําคัญของการกระทำโดยงดเว้น คือ ผู้กระทำมีหน้าที่ต้องกระทำและหน้าที่นั้นจะต้องเป็นหน้าที่โดยเฉพาะที่จะต้องกระทำาเพื่อป้องกันมิให้เกิดผล ซึ่งเกิดขึ้นนั้น


ข้อสังเกต เวลาตอบข้อสอบ* อย่าตอบว่า ผิดฐานงดเว้น


ประเด็นที่น่าสนใจ

บิดาเห็นบุตรผู้เยาว์ของตนกําลังทำร้ายร่างกายผู้อื่น บิดาสามารถห้ามปรามและ “ลงโทษ” บุตรผู้เยาว์ของตนได้ แต่ไม่สนใจใยดี (เน้น*)

ในกรณีเช่นนี้ หากบุตรผู้เยาว์มีความผิด เช่น มาตรา ๒๙๕ ก็อาจต้องถือว่า บิดาผิดฐานทำร้ายร่างกายบุคคลที่สามด้วย (ถ้าบิดา “เจตนา” ก็ผิดมาตรา ๒๙๕ ถ้า “ประมาท” ก็ผิดมาตรา ๓๙๐) เพราะ “งดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

 ข้อสังเกต

๑.) “ผล” ตามมาตรา ๒๙๕ และมาตรา ๓๙๐ คือ “อันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น”

๒.) “จักต้อง กระทำ” หมายความว่า “มีหน้าที่ต้องห้ามปราม” เพราะ ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๗ (๒) ให้อํานาจบิดา “ทำโทษบุตรตามสมควรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน”

 ดังนั้น เมื่อบิดาไม่สนใจ ใยดีห้ามปรามและลงโทษบุตรผู้เยาว์ของตน ปล่อยให้ไปทำร้ายร่างกายผู้อื่น ต่อหน้าต่อตา บิดาก็ผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย แต่เมื่อบิดาไม่มี “เจตนา” ก็ไม่ผิด มาตรา ๒๙๕ แต่อาจถือว่า “ประมาท” และผิดมาตรา ๓๙๐ ได้


https://www.lawsiam.com/?name=Thaibar1-Aya