ถอดเทป วิชา ยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ
อ.ปัญญา ถนอมรอด (ภาคปกติ) 21 พ.ค 61 ครั้งที่1 สมัยที่ 71
อยู่ระหว่างถอดเทปพร้อมเน้นประเด็น แพ่ง-อาญา ครบทุกคาบ ทันก่อนสอบ* สมัยที่ 71
..........
ผมเป็นผู้ได้มอบหมายให้เป็นผู้บรรยายคนแรกขอต้อนรับด้วยความยินดี
ในปี ๒๕๕๗ และ ๒๕๕๘ มีการแก้ไขกฎหมายค้ำประกันและจำนองให้แตกต่างจากเดิม แนวคำพิพากษาฎีกาบางเรื่องใช้ไม่ได้แล้ว
บางเรื่องใช้ได้เพียงบางส่วน จึงเป็นเรื่องที่ท่านต้องศึกษาเพื่อนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งอาจารย์จะบรรยายให้ทราบว่าตรงไหนใช้ได้ หรือตรงไหนใช้ไม่ได้แล้ว
ยืม
ยืมเป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จัดไว้เป็นเอกเทศสัญญาโดยบัญญัติไว้ในบรรพ
๓
หลักพิจารณา
๑.
เจตนาของคู่สัญญา
สัญญายืมเป็นนิติกรรม ๒ ฝ่าย
เกิดขึ้นโดยการ แสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป
เมื่อเป็นนิติกรรมก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ ของมาตรา ๑๔๙ ที่ว่า “มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๑๑/๒๕๒๙
โจทก์ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ศาลฎีกาจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๔๐ และมาตรา๖๕๐ ลักษณะ ๙ เรื่องยืมเป็นกรณีที่ผู้ให้ยืมให้ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเพื่อประโยชน์ของผู้ยืมหาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ให้ยืมไม่การที่โจทก์ผู้ให้ยืมให้จำเลยยืมเงินไปเป็นการทดรองเพื่อให้จำเลยนำไปใช้สอยในกิจการของโจทก์เป็นประโยชน์ของโจทก์ผู้ให้ยืมเองรูปเรื่องจึงปรับเข้าด้วยลักษณะ๙เรื่องยืมแห่งบทบัญญัติกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงผูกพันกันในลักษณะอื่นโดยเฉพาะต้องพิจารณาเจตนารมณ์ระหว่างคู่กรณีมุ่งผูกพันกันแค่ไหนอย่างไรการที่จำเลยลงชื่อในใบยืมเงินทดรองของโจทก์นั้นได้กระทำไปโดยตำแน่งหน้าที่ของจำเลยในฐานะพนักงานของโจทก์ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของตนตามระเบียบแบบแผนของโจทก์ที่วางไว้เพื่อใช้ดำเนินงานของโจทก์โดยมอบให้
จ.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไปดำเนินการต่อไปเพื่อให้งานของโจทก์ดำเนินไปโดยเรียบร้อยแม้จะมีข้อบังคับให้ผู้ยืมต้องนำใบสำคัญคู่จ่ายที่ถูกต้องพร้อมทั้งเงินที่เหลือจ่ายส่งใช้แก่โจทก์ตามกำหนดก็เป็นเรื่องกำหนดความรับผิดชอบของผู้ยืมไว้เป็นการเฉพาะเป็นหลักปฏิบัติงานในหน่วยงานของโจทก์เมื่อจำเลยมิได้อยู่ในฐานะของผู้ยืมตามกฎหมายแต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินรายพิพาทแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๔๑๔/๒๕๕๑ จำเลยเป็นข้าราชการในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติโจทก์
และได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้เป็นผู้ดำเนินการอบรมลูกจ้างประจำโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา
การที่จำเลยขอยืมจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ในการอบรมลูกจ้างประจำโรงเรียนปฏิรูปการศึกษาดังกล่าว
เป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
การทำสัญญาการยืมเงินเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลย
จึงมิใช่เป็นการยืมตามลักษณะ ๙ แห่ง ป.พ.พ. และไม่อาจนำบทบัญญัติในลักษณะ ๙
มาใช้บังคับในฐานะบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๔๖/๒๕๓๘
โจทก์ยืมเงินจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นกรณีที่โจทก์ปฏิบัติตามหน้าที่ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการและเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการเท่านั้นหาใช่ทำในฐานะส่วนตัวไม่การคืนเงินยืมดังกล่าวก็เพียงแต่นำใบสำคัญที่คณะกรรมการจ่ายเงินได้จ่ายไปนำไปเบิกจากงบประมาณแผ่นดินแล้วนำไปชำระแก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดหาจำต้องนำเงินส่วนตัวมาชำระคืนไม่โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา๖๕๐เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้ยืมเงินโจทก์กับจำเลยจึงไม่มีหนี้ต่อกันหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์จึงไม่มีผลบังคับ
๒.
ความสามารถในการทำนิติกรรม
ผู้แทนนิติบุคคลกระทำการภายในวัตถุประสงค์ของนิติบุคคล
นิติบุคคลต้องผูกพันและรับผิดตามนิติกรรมนั้น สำหรับนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นมาเพื่อประกอบธุรกิจการค้าจำเป็นจะต้องมีเงินทุนมาใช้ในการดำเนินกิจการ
ดังนั้น การที่ผู้แทนของนิติบุคคลกู้ยืมเงินผู้อื่นมาเพื่อใช้ในกิจการของนิติบุคคลนั้น
ต้องถือว่าเป็นการกระทำภายในวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้น (ฎีกาที่
๓๕๙๖/๒๕๒๕ และ ๕๐๐๒/๒๕๔๐)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๘๙๖/๒๕๒๕
การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์มาใช้ในกิจการค้าของจำเลยที่ ๑
หาเป็นการนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๑ ไม่
การที่โจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ ๒
เป็นผู้กู้ และรับเงินจากโจทก์ไปต่างกับฟ้องที่ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้
เมื่อข้อเท็จจริงเป็นอันยุติ และตามอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยยอมรับว่าจำเลยที่ ๑
เป็นผู้กู้เงินโจทก์แล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยปัญหานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๐๒/๒๕๔๐ จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล
มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจการค้า การประกอบธุรกิจดังกล่าวจึงต้องมีการซื้อขายและต้องมีเงินทุนในการดำเนินกิจการ
การกู้ยืมเงินมาเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการของจำเลยที่ ๑
จึงเป็นเรื่องการประกอบธุรกิจการค้าของจำเลยที่ ๑ นั่นเอง
หาใช่เป็นการกระทำนอกเหนือวัตถุประสงค์อย่างใดไม่ การที่จำเลยที่ ๑ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
หลังจากจำเลยที่ ๒
พ้นจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแล้ว จำเลยที่ ๒
ยังคงแสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ยอมให้จำเลยที่ ๒
เข้าทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญารับมอบสินค้าเชื่อกับโจทก์รวมทั้งดำเนินการขายลดเช็คแก่โจทก์
ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ เชิดหรือให้จำเลยที่ ๒ เชิดตัวเองทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่
๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๑
สัญญาที่จำเลยที่ ๒ ทำกับโจทก์จึงมีผลใช้บังคับได้
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดในวันที่
๑๙ เมษายน ๒๕๒๓ แต่เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยที่ ๑ ก็ยังเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์มิได้บอกเลิก
พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่ออายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนดเวลา
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงยังมีอยู่ ดังนั้น โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อมาได้
ภายหลังโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ซึ่งครบกำหนดวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๒๖ จำเลยที่
๑ ไม่ชำระ ถือได้ว่าวันดังกล่าวเป็นวันหักทอนบัญชีนับแต่นั้น
โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกต่อไป
ผู้แทนนิติบุคคลกระทำการนอกวัตถุประสงค์ของนิติบุคคล
ตามปกติแล้วนิติบุคคลนั้นไม่ต้องรับผิด เช่น
กรรมการบริษัทใช้เงินในบัญชีของบริษัทเป็น ประกันหนี้ของตนที่มีต่อธนาคาร (ฎีกาที่
๔๑๙๓/๒๕๒๘)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๑๙๓/๒๕๒๘ โจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม
๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๓ จำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์แล้ว
ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ในใบถอนเงินฝากประจำทำการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์
แล้วโอนไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ ๓
อันเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับและเป็นการยักยอกทรัพย์สินของโจทก์
เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายต้องสูญเสียเงินฝากประจำขาดดอกเบี้ยที่จะได้รับ
และต้องเสียชื่อเสียงในการดำเนินกิจการ
ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์คำฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัด
ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว
จึงไม่เคลือบคลุมกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่
๒ และที่ ๓ ทำใบถอนเงินฝากประจำของโจทก์โดยมิได้ลงวันถอนมอบให้จำเลยที่๑
ยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้อันเกิดจากการขายลดตั๋วเงินของจำเลยที่ ๓
เมื่อจำเลยที่ ๑ ลงวันเดือนปีในใบถอนเงินแล้วใช้หักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์โอนไปเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่
๓ เพื่อชำระหนี้ แม้จะกระทำภายหลังที่โจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๑
ขอยกเลิกลายเซ็นของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
แล้วก็ตามถือได้ว่าโจทก์ยินยอมหรือสมัครใจให้ทำเช่นนั้น จึงไม่เป็นการทำละเมิด
โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อค้ำประกันหนี้ผู้อื่น
การที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์
ทำใบถอนเงินฝากประจำของโจทก์มอบให้จำเลยที่ ๑ ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๓
เป็นการกระทำนอกขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ จึงไม่ผูกพันโจทก์ จำเลยที่ ๑
ไม่มีสิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์ได้
๓.
วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
สัญญายืมจะใช้บังคับได้ต้องเป็นไปตามมาตรา
๑๕๐ คือ มีวัตถุประสงค์ไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจงโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย
หรือเป็นการชัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ถ้าเราขอยืมเงิน
จากเพื่อน ธนบัตรหรือเงินที่ยืมเป็นวัตถุแห่งหนี้ วัตถุประสงค์ของการยืมก็คือยืมเงิน
นั้นไปเพื่อทำอะไร ถ้าวัตถุประสงค์เป็นการไม่ชอบตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๕๐ และคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งก็รู้
สัญญานั้นเป็นโมฆะ เช่น
กู้เงินโดยบอกผู้ให้กู้ว่า จะเอาไปลงทุนค้าฝิ่นเถื่อน
(ฎีกาที่ ๗๐๗/๒๔๘๗) กู้เงินโดยบอกว่าจะเอาไปใช้หนี้ค่าจ้าง มือปืนไปยิงครู
(ฎีกาที่ ๓๕๘/๒๕๑๑) ให้กู้เงินโดยรู้ว่าผู้กู้จะนำเงินนั้นไปใช้ในการวิ่งเต้น
กับกรรมการคุมสอบคัดเลือกเข้ารับราชการ (ฎีกาที่ ๕๗๑๘/๒๕๕๒) พระภิกษุให้กู้ยืม โดยคิดดอกเบี้ยได้
(ฎีกาที่ ๓๗๗๓/๒๕๓๘) สัญญากู้ยืมที่มีมูลหนี้มาจากการพนัน หวยใต้ดิน
เป็นมูลหนี้ที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมไม่ก่อหนี้
ที่พึงชำระต่อกัน (ฎีกาที่ ๔๘๒๒/๒๕๕๐) ธนาคารหรือบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้กู้ยืม
ให้ลูกค้ากู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดข้อตกลง
เรื่องดอกเบี้ยต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงตกเป็นโมฆะ (ฎีกาที่ ๔๐๐๑/๒๕๕๑ และ
๖๒๒๓/๒๕๕๖)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๗๑๘/๒๕๕๒ โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงิน
โดยโจทก์มีจุดประสงค์ให้จำเลยที่ ๑ นำเงินที่ได้รับจากโจทก์ไปใช้ในการวิ่งเต้นกับคณะกรรมการคุมสอบเพื่อให้ช่วยเหลือบุตรสาวโจทก์ให้ผ่านการสอบคัดเลือกด้วยวิธีการอันมิชอบ
ซึ่งจะทำให้บุตรสาวโจทก์ได้เปรียบผู้สมัครสอบรายอื่น
และทำให้การวัดผลไม่เป็นไปอย่างเที่ยงธรรมตรงไปตรงมา ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ทางราชการ
วัตถุประสงค์ของการทำสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์และจำเลยจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญากู้เงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๐๑/๒๕๕๑ ข้อกำหนดซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย
ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ ๘ แห่ง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
กิจการที่ต้องขออนุญาต ตาม ข้อ ๕ แห่งประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ (เรื่อง สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ย
ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใดๆ ไว้ในข้อ ๔.๔ (๑) ให้ผู้ประกอบธุรกิจอาจเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ
ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใดๆ เกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
ทั้งนี้ดอกเบี้ยที่เรียกเก็บต้องไม่เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ (ร้อยละ ๑๕ ต่อปี)
โดยอัตรารวมสูงสุดของดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใดๆ ดังกล่าว
รวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ ๒๘ ต่อปี (Effective rate) โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ย
ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมใดๆ โดยอัตรารวมสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๒๘ ต่อปี
แต่ข้อเท็จจริงตามหนังสือแจ้งผลการพิจารณาสินเชื่อบุคคลปรากฏว่า
ในการที่โจทก์อนุมัติเงินกู้ให้แก่จำเลยจำนวน ๑๘,๙๐๐ บาท
นั้น โจทก์เรียกเก็บดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ ๑.๒๕ ต่อปี
หรือร้อยละ ๑๕ ต่อปี และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี
ของวงเงินกู้ที่โจทก์อนุมัติ กับค่าดำเนินการอนุมัติเงินกู้ซึ่งเป็นค่าบริการจำนวน
๑,๐๐๐ บาท ซึ่งสามารถคำนวณเป็นร้อยละได้อัตราร้อยละ ๕.๒๙ ของวงเงินกู้ที่โจทก์อนุมัติ เมื่อรวมอัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินและค่าดำเนินการ
การอนุมัติเงินกู้ซึ่งเป็นค่าบริการเข้าด้วยกันแล้วจะเป็นอัตราร้อยละ ๓๐.๒๙ เกินกว่าอัตราร้อยละ ๒๘ ต่อปี ที่ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้
โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมในอัตราดังกล่าว
การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยค่าบริการและค่าธรรมเนียมในอัตราดังกล่าว
จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายและตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๗๐๗/๒๕๕๘ โจทก์บังคับให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งที่ความจริงกู้ยืมเงินกันเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท
เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
โจทก์จึงไม่อาจแสวงหาผลประโยชน์จากสัญญากู้ที่ทำขึ้นโดยไม่สุจริต
ปัญหาว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่
เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๒๗/๒๕๕๙ (ฎีกาใหม่)
การที่โจทก์ตกลงทำสัญญาโดยมอบเงินจำนวนมากถึง ๔๐๐,๐๐๐ บาท
ให้จำเลยที่ ๑ ก็เพราะเชื่อมั่นว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒
ซึ่งเป็นข้าราชการทหารมียศสูงถึงพลโทสามารถวิ่งเต้นหรือดำเนินการช่วยเหลือให้ อ.
เข้ารับราชการทหารในตำแหน่งผู้ช่วยสัสดีได้
โดยผ่านช่องทางหรือกระบวนการพิเศษที่มิได้เป็นไปอย่างเที่ยงธรรมตรงไปตรงมาเหมือนกรณีการสอบเข้ารับราชการตามปกติทั่วไป
หาใช่มอบเงินให้เพื่อตอบแทนหรือเป็นค่าใช้จ่ายการพา อ. ไปสมัครสอบ
พาไปติวและดำเนินการสอบดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยที่ ๑
เป็นจำนวนมากก็โดยมุ่งหมายให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒
นำเงินดังกล่าวไปให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการสอบแข่งขัน
เพื่อจูงใจให้กระทำการใด ๆ อันไม่ชอบด้วยหน้าที่ เพื่อเอื้ออำนวยให้ อ.
ได้เข้ารับราชการ หรือโจทก์ย่อมคาดหมายได้ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒
จะต้องนำเงินดังกล่าวไปให้พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อกระทำการอันมิชอบ
อันเป็นการสนับสนุนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการเป็นการส่งเสริมระบบอุปถัมภ์
ในขณะเดียวกันก็ทำลายระบบคุณธรรมอย่างสิ้นเชิง
ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง สัญญาฝากเข้าทำงาน
ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ที่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ และแม้ตามสัญญาฝากเข้าทำงานจะระบุไว้ว่า
"ผู้ให้สัญญา (จำเลยที่ ๑) ยอมรับว่าเงินที่ผู้รับสัญญา (โจทก์)
จ่ายให้ตามข้อ ๔ ไม่ใช่เงินที่ผู้รับสัญญาให้เพื่อนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการใด
ๆ อันไม่ชอบด้วยหน้าที่ เพื่อให้ อ. เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยสัสดีได้"
ก็หาอาจลบล้างวัตถุประสงค์ที่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนได้ไม่
ยืมใช้คงรูป
ลักษณะของสัญญายืมใช้คงรูป มาตรา ๖๔๐ บัญญัติว่า
“อันว่ายืมใช้ คงรูปนั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม
ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิงหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สิน
นั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว” และมาตรา ๖๔๑ บัญญัติว่า “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น
ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”
หน้าที่และความรับผิดของผู้ยืมใช้คงรูป
๑. หน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูป
เมื่อผู้ยืมได้รับมอบทรัพย์สินที่ยืมแล้ว ผู้ยืมมีสิทธิ ที่จะใช้สอยทรัพย์สินนั้นโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน
และมีหน้าที่ ๕ ประการตามที่ระบุไว้ ในมาตรา ๖๔๒, ๖๔๓,
๖๔๔, ๖๔๖ และ ๖๔๗
๒. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการทำสัญญา
ส่งมอบและส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๖๔๒ ว่า “ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญาก็ดี ค่าส่งมอบและค่าส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดี
ย่อมตกแก่ผู้ยืมเป็นผู้เสีย” ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญา คือ ค่าธรรมเนียมที่จะต้องเสียให้แก่รัฐในการทำสัญญายืม
ขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ายืมอะไรที่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม
สำหรับค่าส่งมอบและค่าส่งคืน ทรัพย์สินที่ยืมถ้าไม่ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย
ส่วนปัญหาว่าจะต้องส่งมอบและส่งคืน ณ สถานที่ใด
ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นต้องเป็นไปตามมาตรา ๓๒๔ คือ ต้องส่งมอบกัน ณ
สถานที่ที่ทรัพย์นั้นอยู่ในเวลาเมื่อก่อให้เกิดหนี้นั้น
หน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ทรัพย์สินที่ยืม
หน้าที่นี้กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๖๔๓ ว่า “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น
ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่น นอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น
หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี
เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืม
จะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด
แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ
ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”
คำว่า “ใช้การอย่างอื่นนอกจากการเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น”
คือ ทรัพย์ที่ยืม ไปนั้นปกติคนทั่วไปเขาใช้ทำอะไร ผู้ยืมก็ต้องใช้อย่างนั้น เช่น
ยืมรถเก๋งไปใช้ ผู้ยืมต้องเอาไปใช้ให้คนนั่ง ไม่ใช่เอาไปใช้บรรทุกของ
ส่วนการใช้ “นอกจากการอันปรากฏในสัญญา”
เช่น ยืมรถเก่งที่กรุงเทพ โดย บอกว่าจะไปธุระที่เชียงใหม่ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น
จะนำไปใช้ในเส้นทางอื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันไม่ได้
คำว่า “เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย”
หมายความว่าผู้ยืมจะต้องเป็นคนใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเอง
การใช้สอยนี้ต้องดูสภาพของทรัพย์ที่ยืมประกอบด้วย เช่น
ยืมรถไปใช้เราขับเองหรือใช้คนขับรถที่มีใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถนั้นโดยเราสามารถควบคุม
ได้ก็ถือว่าเราเป็นคนใช้ทรัพย์นั้น ยืมถ้วยยืมจานไปใช้ในงานทำบุญเลี้ยงพระ แม้ในงานทำบุญนั้นจะมีคนอื่นมาใช้ถ้วยใช้จานนั้นด้วยก็ยังถือว่าเราเป็นคนใช้ทรัพย์นั้น
ส่วนคำว่า “เอาไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้”
เป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดหน้าที่ให้ผู้ยืมจะต้องรีบคืนทรัพย์ที่ยืมเมื่อใช้สอยทรัพย์นั้นเสร็จแล้วหรือเมื่อใช้ครบกำหนดเวลา
ตามที่ตกลงยันไว้ เช่น ยืมรถมาใช้ ๓ วัน เมื่อครบ ๓ วัน ก็ต้องคืน
จะอ้างว่า ยืมมาแล้วยังไม่ได้ใช้ขอเก็บไว้ก่อนจนกว่าจะใช้รถคันนั้นครบ ๓ วัน
อย่างนี้เป็นการผิดหน้าที่ตามมาตรา ๖๔๓
ในกรณีที่ผู้ยืมผิดหน้าที่ดังกล่าวแล้วปรากฏว่าทรัพย์สินที่ยืมสูญหายหรือบุบสลาย
ผู้ยืมจะต้องรับผิดตามมาตรา ๖๔๓ ถ้าผู้ยืมไม่ผิดหน้าที่ผู้ยืมไม่ต้องรับผิด เช่น
ยืม โทรทัศน์มาใช้ ๑ สัปดาห์ เมื่อยืมมาได้เพียง ๒ วัน
เพื่อนบ้านประมาททำให้เกิดไฟไหม้
ไฟลามมาไหม้บ้านผู้ยืมทำให้โทรทัศน์ที่ยืมถูกไฟไหม้ กรณีนี้ผู้ยืมไม่ต้องรับผิด
แต่ถ้าผู้ยืมใช้โทรทัศน์ไป ๑๐ วันแล้วยังไม่ยอมคืน เกิดไฟไหม้เช่นเดียวกับกรณีแรก
ผู้ยืมจะต้องรับผิด เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖๔๓ ตอนท้าย เช่น
พิสูจน์ได้ว่า บ้านต้นเพลิง
บ้านผู้ยืมและบ้านผู้ให้ยืมเป็นตึกแถวติดกันถูกไฟไหม้หมดทั้ง ๓ คูหา
อย่างนี้ผู้ยืมไม่ต้องรับผิด
๓. หน้าที่สงวนทรัพย์สินที่ยืม กรณีนี้เป็นหน้าที่ตามมาตรา
๖๔๔ ซึ่งบัญญัติ ว่า “ผู้ยืมจำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง”
เช่น ตามปกติเราชอบเอาโน๊ตบุ๊คมาใช้ที่ระเบียงคอนโดมิเนียม ใช้เสร็จก็วาง
ไว้ตรงนั้น เพราะคนมาลักไปไม่ได้ แต่ตรงนั้นมันไม่กันแดดกันฝนร้อยเปอร์เซ็นต์ คน
ธรรมดาทั่วๆ ไปเขาจะเก็บโน๊ตบุ๊คไว้ในที่ไม่ร้อนจัด แห้งและไม่ถูกละอองน้ำ เรายืม
โน๊ตบุ๊คคนอื่นมาใช้ เราก็ต้องนำมาเก็บไว้ในห้อง
จะวางไว้ที่ระเบียงเหมือนของเราเองไม่ได้
ปัญหาว่าขนาดไหนเป็นการสงวนทรัพย์สินอย่างวิญญูชนนั้น ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่ชัด
ต้องดูพฤติการณ์เป็นกรณีไปว่า กรณีเช่นนั้นคนธรรมดาทั่วๆ
ไปในภาวะเช่นนั้นเขาปฏิบัติ อย่างไร
๔. หน้าที่คืนทรัพย์สินที่ยืม
หน้าที่นี้กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๖๔๐ตอนท้ายว่า “ผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้น เมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”
และ
มาตรา ๖๔๖ บัญญัติว่า
“ถ้ามิได้กำหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืม เมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา
แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้ เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้น
เสร็จแล้ว
ถ้าเวลาก็มิได้กำหนดกันไว้
ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อ การใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียกของคืนเมื่อไรก็ได้”
มาตรา ๖๔๖
บัญญัติหน้าที่ผู้ยืมไว้ ถ้ายืมมีกำหนดเวลา ๕ วัน เมื่อครบ ๕ วัน ก็ต้องคืน
ในกรณีที่ไม่มีกำหนดเวลากันไว้ก็ต้องคืนทรัพย์สินเมื่อใช้สอยทรัพย์สิน นั้นเสร็จ
เช่น ยืมรถขุดไปขุดปอเมื่อขุดเสร็จก็ต้องคืน ถ้าการขุดบ่อนั้นตามปกติใช้เวลา ๕ วัน
เราขุดเสร็จโดยใช้เวลา ๔ วันเราก็ต้องคืน ถ้าเอารถมา ๕ วันแล้วยังไม่ลงมือขุด
ผู้ให้ยืมมีสิทธิเรียกรถนั้นคืนได้ในกรณีที่ไม่ได้กำหนดว่าจะคืนเมื่อไร
และไม่ปรากฏในสัญญาว่ายืมไปเพื่อการใด มาตรา ๖๔๖ วรรคสอง บัญญัติว่า
ผู้ให้ยืมจะเรียกของคืน เมื่อไรก็ได้ คือ เรียกคืนได้ทันที
ส่วนจะคืนที่ไหนต้องเป็นไปตามมาตรา ๓๒๔ คือ ถ้าไปตกลงกันไว้ต้องคืน ณ
สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อหนี้ ค่าใช้จ่าย ในการคืนต้องเป็นไปตามมาตรา
๖๔๒ คือผู้ยืมเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ไม่นำมาตรา ๓๒๕
ซึ่งเป็นบทบัญญัติทั่วไปมาใช้บังคับ
๕. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม
หน้าที่นี้กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๖๔๗ ว่า “ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่ง
ยืมนั้นผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย” ค่าใช้จ่ายตามมาตรานี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ยืมจ่ายไป
เนื่องจากการบำรุงรักษาตามปกติ เช่น
ยืมรถไปใช้ผู้ยืมต้องบำรุงรักษารถนั้นให้อยู่ในสภาพดี ต้องตรวจและเติมน้ำ น้ำกลั่น
น้ำมันเครื่องยนต์ และลมยาง ค่าใช้จ่ายนี้ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น
ผู้ยืมจะเรียกคืนจากผู้ให้ยืมไม่ได้
ปัญหาว่า
ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่การบำรุงรักษาตามปกติ แต่เป็นค่าซ่อมใหญ่ จะเรียกคืนได้หรือไม่
กฎหมายเรื่องยืมไม่ได้บัญญัติไว้ ปัญหาว่าจะนำหลักตามมาตรา ๕๕๐ เรื่องเช่าทรัพย์ที่บัญญัติให้ผู้ให้เช่าทรัพย์เป็นผู้รับผิดชอบในค่าซ่อมใหญ่มาใช้ในเรื่อง
ยืมได้หรือไม่ ผมเห็นว่ายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน
ผู้ยืมมีสิทธิใช้ทรัพย์สินที่ยืมได้โดยไม่ต้องชำระค่าตอบแทน
ผู้ให้ยืมส่งมอบทรัพย์ที่ยืมให้แก่ผู้ยืมแล้วผู้ให้ยืมไม่มีหน้าที่อื่นอีก
เป็นเรื่องที่ผู้ยืมจะต้องพิจารณาเองว่าทรัพย์นั้นใช้ได้หรือไม่
ถ้าใช้ไม่ได้ก็ต้องส่งคืนโดยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการส่งคืนด้วย ดังนั้นถ้าผู้ยืมเอาทรัพย์นั้นไปซ่อมใหญ่
โดยพลการ และไม่ได้ตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายกับผู้ให้ยืมก่อน ผู้ยืมจะเรียกให้ผู้ให้ยืมชดใช้
คืนไม่ได้
ความรับผิดของผู้ยืมในกรณีที่ทรัพย์สินที่ยืมสูญหายหรือบุบสลาย
เมื่อทรัพย์สินที่ยืมสูญหายหรือบุบสลายจะมีปัญหาว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมหรือไม่
เพียงใด และถ้าผู้ยืมไม่ต้องรับผิดผู้ยืมจะฟ้องบุคคลผู้ทำละเมิดเป็นเหตุให้ทรัพย์สินที่ยืมเสียหายได้หรือไม่
แยกพิจารณาได้ดังต่อไปนี้
๑. ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมเมื่อผิดหน้าที่
มาตรา ๖๔๓ บัญญัติถึง หน้าที่ของผู้ยืมว่า ผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบถ้าเอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น
หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้
หรือเอาทรัพย์สินไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้และมาตรา ๖๔๔ กำหนด
ให้ผู้ยืมต้องสงวนทรัพย์สินที่ยืมเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง
ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ยืม ผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบเฉพาะเมื่อผิดหน้าที่ตามสัญญาหรือตามกฎหมาย
๒ มาตรานี้ ถ้าผู้ยืมไม่ผิดหน้าที่ แต่ยังเกิดความเสียหายขึ้น ผู้ยืมไม่ต้องรับผิด
(ฎีกาที่ ๕๓๔/๒๕๐๖ และ ๗๔๑๖/๒๕๔๘)
๒.
ผู้ยืมฟ้องผู้ทำละเมิดทำให้ทรัพย์สินที่ยืมเสียหายได้หรือไม่ กรณีนี้
ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้ยืมมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมหรือไม่
ถ้าผู้ยืมใช้ทรัพย์ตามปกติไม่ผิด หน้าที่
แต่มีบุคคลที่สามมาทำละเมิดทำให้ทรัพย์ที่ยืมเสียหาย แม้ผู้ยืมจะเสียค่าใช้จ่าย
ในการซ่อมทรัพย์ที่ยืมให้กลับสู่สภาพเดิม ผู้ยืมก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ทำละเมิดใช้ค่าเสียหาย
เป็นเรื่องที่ผู้ให้ยืมจะต้องฟ้องเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๖๘๓/๒๕๓๗ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๔๒๐ ประกอบด้วยมาตรา ๔๓๘ วรรคสอง
บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด
ๆ
อันได้ก่อขึ้นเป็นการเฉพาะไว้แล้วโจทก์ผู้ยืมรถยนต์ของผู้อื่นมาแล้วถูกจำเลยทำละเมิดชนท้ายได้รับความเสียหาย
โจทก์ไม่มีหน้าที่ซ่อมรถยนต์คันที่ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพเดิม
จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิด
ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๔๕๑/๒๕๒๔ ในการยืมใช้คงรูปนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา๖๔๓ ได้บัญญัติให้ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมเฉพาะแต่กรณีผู้ยืมเอาทรัพย์ที่ยืมไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น
หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา
หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ โจทก์เป็นแต่เพียงผู้ยืมรถคันที่ถูกชนไม่ได้เป็นเจ้าของไม่ปรากฏเหตุดังกล่าวที่โจทก์จะต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืม.
และการที่รถที่โจทก์ขับได้รับความเสียหายก็มิใช่เป็นความผิดของโจทก์ฉะนั้นโจทก์ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของรถและแม้ว่าโจทก์จะได้ซ่อมรถคันดังกล่าวไปแล้ว
โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิของเจ้าของรถที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้
เพราะการรับช่วงสิทธิจะมีได้ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้คือเจ้าของรถ
เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ความระงับของสัญญายืมใช้คงรูป
๑. สัญญาระงับเพราะผู้ยืมตาย มาตรา ๖๔๘
บัญญัติว่า “อันการยืม ใช้คงรูป ย่อมระงับสิ้นไปด้วยมรณะแห่งผู้ยืม”
เฉพาะผู้ยืมตายเท่านั้นที่มีผลทำให้ สัญญายืมระงับ
ถ้าผู้ให้ยืมตายสัญญายืมไม่ระงับ เช่น จำเลยยืมเรือของนาย ก. ไปใช้ โดยมีข้อตกลงว่ายืมกันตลอดอายุของจำเลย
เมื่อผู้ให้ยืมตาย ผู้รับมรดกยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกทรัพย์ที่ให้ยืมคืน
เพราะมาตรา ๖๔๕ แสดงให้เห็นว่ากฎหมายมิได้ประสงค์ให้ถือเอาความมรณะของผู้ให้ยืมเป็นเหตุให้สัญญาระงับ
(ฎีกาที่ ๓๓๕/๒๔๗๙) ถ้ายืมเรือ ๔ ปี ผู้ยืม ใช้เรือได้ ๑ ปี ก็ตาย สัญญายืมระงับ
๒. สัญญาระงับเพราะเหตุอื่น นอกจากเหตุตามมาตรา
๖๔๘ แล้ว สัญญา ยืมยังระงับไปตามหลักทั่วไปของสัญญาอีก คือ ๑. เมื่อส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม
๒. เมื่อทรัพย์ที่ยืมสูญหายหรือบุบสลายจนหมดสิ้นไป ๓. เมื่อมีการบอกเลิกสัญญา
มาตรา ๖๔๕ บัญญัติว่าถ้าผู้ยืมปฏิบัติผิดหน้าที่ตามมาตรา ๖๔๓ หรือมาตรา ๖๔๔ เช่น
ใช้สอยทรัพย์สินไม่ถูกต้องตามสัญญาหรือไม่สงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม
ผู้ให้ยืมจะบอก เลิกสัญญาเสียก็ได้
ส่วนการเลิกสัญญาจะทำอย่างไรและมีผลตั้งแต่เมื่อไรต้องเป็นไปตาม บรรพ ๑ และบรรพ ๒
อายุความ
๑. อายุความเรียกค่าทดแทน มาตรา ๖๔๙
บัญญัติว่า “ในข้อความรับผิด
เพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา
หกเดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา” อายุความตามมาตรานี้ใช้เฉพาะการเรียกค่าทดแทน หรือค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาหรือหน้าที่ตามมาตรา
๖๔๒,
๖๔๓, ๖๔๔ และ ๖๔๗
ถ้าการผิดหน้าที่ดังกล่าวเลยไปถึงขนาดเป็นการละเมิดต่ออีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องนำอายุความละเมิดมาใช้บังดับเมื่อมีการฟ้องให้รับผิดฐานละเมิด
๒. อายุความเรียกคืนทรัพย์สินที่ยืม
การฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินที่ยืม หรือให้ใช้ราคาทรัพย์สินที่ยืม ผู้ให้ยืมมีสิทธิฟ้องภายในอายุความ
๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ หรือ มาตรา ๑๖๔ เดิม
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๘๙/๒๕๒๖
อายุความตามมาตรา ๖๔๙ เป็นกรณี
ฟ้องให้รับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูป เช่น
ค่าเสียหายเกี่ยวกับ การชำรุดหรือเสื่อมราคาเนื่องจากการใช้สอยทรัพย์สินที่ยืม
ในกรณีฟ้องเรียกคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ยืมไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้
จึงต้องปรับด้วยมาตรา ๑๖๔ (เดิม) คือ มีอายุความ ๑๐ ปี
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๖๖/๒๕๓๖
ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกคืนลังไม้หรือราคาลังไม้ซึ่งจำเลยที่ ๑
ยืมไปพร้อมขวดแก้วซึ่งโจทก์ขายให้จำเลยที่ ๑ จึงนำมาตรา ๖๔๙ มาบังคับไม่ได้
ต้องใช้อายุความ ๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๖๔ (เดิม)
กรณีดังกล่าวถ้าผู้ให้ยืมเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น
ผู้ให้ยืมนอกจากมีสิทธิในฐานะคู่สัญญาฟ้องเรียกทรัพย์สินที่ยืมคืนภายใน ๑๐ ปีแล้ว เขายังมีสิทธิตามมาตรา
๑๓๓๖ ที่จะติดตามเอาทรัพย์สินของตนได้โดยไม่มีอายุความ
ตราบใดที่ยังไม่มีการครอบครอง ปรปักษ์โดยผู้อื่นเจ้าของมีสิทธิเรียกคืนได้เสมอ
ยืมใช้สิ้นเปลือง
ลักษณะของสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง มาตรา ๖๕๐ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
“อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้นคือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไป
สิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืมและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็น
ประเภท ชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันให้'แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น”
๑.
เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน ผู้ยืมเท่านั้นที่มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติต่อผู้ให้ยืม
ผู้ให้ยืมไม่มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญายืม การล่งมอบทรัพย์ที่ยืมให้แก่ผู้ยืมเป็นการกระทำที่ทำให้สัญญายืมบริบูรณ์ไม่ใช่หนี้ตามสัญญา
แม้เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน แต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอาจเป็นสัญญามีค่าตอบแทนได้
เช่น ให้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย
๒. เป็นสัญญาที่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืม
ทั้งนี้เพราะมาตรา ๖๕๐ วรรคหนึ่ง ใช้คำว่า “โอนกรรมสิทธิ์...ให้ไปแก่ผู้ยืม”
การที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ ที่ยืมนี้ ทำให้มีผลหลายประการที่สำคัญ
๑. ผู้ให้ยืมใช้สิ้นเปลืองต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้ยืม
เพราะถ้าไม่ใช่ เจ้าของทรัพย์สินก็ไม่มีสิทธิที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ยืมได้
ในกรณีที่ขณะทำสัญญาผู้ให้ยืมไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ แต่ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ได้รับรองในการกระทำของผู้ให้ยืมจนทำให้สัญญายืมสมบูรณ์
ผู้ยืมซึ่งได้ประโยชน์ตามสัญญาไปแล้วจะปฏิเสธว่าผู้ให้ยืมไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้ เช่น
เงินที่ให้กู้ยืมเป็นเงินของภรรยาหรือมารดาของโจทก์ (ฎีกาที่ ๗๕๔/๒๕๒๓ และ ๑๖/๒๕๓๔)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๔/๒๕๒๓ แม้เงินที่จำเลยที่ ๑ กู้ไปจากโจทก์จะเป็นเงินของภริยาโจทก์แต่เมื่อจำเลยที่
๑ ได้ทำสัญญากู้ให้ไว้กับโจทก์ผู้ให้กู้และจำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์เจ้าหนี้
จำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้
๒. กรณีที่เกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์สินที่ยืม
เมื่อมีภัยพิบัติ เกิดแก่ทรัพย์สินที่ยืมความเสียหายนั้นตกแก่ผู้ยืม
๓.
วัตถุแห่งหนี้ตามสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองต้องเป็นทรัพย์ชนิดใช้ไปสิ้นไป เช่น ยืมข้าวสารมาหุง
ยืมน้ำมันมาใช้ การยืมทรัพย์บางอย่างมาใช้ไม่แน่ชัดว่าทรัพย์นั้น จะเป็นทรัพย์ชนิดใช้ไปสิ้นไปหรือไม่
ในกรณีเช่นนี้ต้องดูเจตนาของคู่กรณีด้วยว่ายืมมา ทำอะไร
ถ้ายืมมาใช้แล้วเป็นที่เห็นได้ว่าจะคืนทรัพย์สินต่างชิ้นกับที่ยืมมา ก็เป็นยืม
ใช้สิ้นเปลืองได้ เช่น ยืมไม้ ยืมสังกะสี ตามปกติทรัพย์ ๒
ชนิดนี้ไม่ใช่ทรัพย์ชนิดใช้ไปสิ้นไป แต่การยืมทรัพย์ดังกล่าวเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองได้เมื่อเจตนาของคู่สัญญาต้องการ
ให้ผู้ยืมใช้ทรัพย์นั้นไปตลอดและเวลาคืนจะต้องนำทรัพย์ชิ้นอื่นมาใช้แทน
จำเลยยืมไม้ และสังกะสีจากผู้ร้องเพื่อปลูกบ้านย่อมหมายความว่าเอาทรัพย์นั้นมาขาดทีเดียว
ไม่ใช่จะเอาทรัพย์นั้นไปคืนอีก จึงถือว่าเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง กรรมสิทธิ์ในบ้านที่ปลูกย่อมตกเป็นของจำเลยตามมาตรา
๖๕๐ (ฎีกาที่ ๙๐๕/๒๕๐๕)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๐๕/๒๕๐๕
จำเลยยืมไม้และสังกะสีของผู้ร้องเพื่อปลูกเรือน ย่อมหมายความว่า เอาทรัพย์นั้นๆ
มาขาดทีเดียว
ไม่ใช่จะเอาทรัพย์นั้นไปคืนอีกจึงถือว่าเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองกรรมสิทธิ์ในเรือนที่ปลูกขึ้น
ดังกล่าวย่อมเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๐
การใช้สัมภาระของบุคคลอื่นทำสิ่งใดขึ้นใหม่ที่ว่าเจ้าของสัมภาระเป็นเจ้าของสิ่งนั้น
แต่ต้องใช้ค่าแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๑๗ นั้น หมายความว่า
สัมภาระจะต้องเป็นของบุคคลอื่นอยู่ในขณะที่ได้เอาสัมภาระนั้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นใหม่เมื่อเป็นกรณียืมใช้สิ้นเปลืองสัมภาระนั้นย่อมตกเป็นของผู้ยืมแล้วในขณะปลูกสร้างจึงไม่เข้าตาม
มาตรา ๑๓๑๗
๔.
เป็นสัญญาที่บริบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม มาตรา ๖๕๐ วรรคสอง บัญญัติว่า “สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”
เป็นเรื่องความสมบูรณ์ ของสัญญา คำว่า บริบูรณ์
ในมาตรานี้มีความหมายเช่นเดียวกับในมาตรา ๖๔๑ เรื่องยืมใช้คงรูป
สัญญาจะให้ยืม
ปัญหาว่ามีสัญญาจะให้ยืมหรือไม่
มีกฎหมายใกล้เคียง กับเรื่องนี้คือ เรื่องซื้อขายมีสัญญาจะซื้อจะขายตามมาตรา ๔๕๖
วรรคสอง เรื่องให้มีคำมั่นว่าจะให้ตามมาตรา ๕๒๖
แต่ในเรื่องยืมกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงสัญญาจะให้ยืม
หรือคำมั่นจะให้ยืมดังเช่นที่มีบัญญัติไว้ในเรื่องซื้อขายและให้ ดังนั้น จึงน่าจะไม่มีสัญญาจะให้ยืม
เว้นแต่จะไปทำสัญญาที่มีข้อตกลงทำนองเดียวกับการจะให้ยืมและข้อสัญญานี้
ปนอยู่ในสัญญาต่างตอบแทนชนิดอื่น ข้อตกลงนั้นจึงจะมีผลบังคับได้ในฐานะที่เป็นสัญญาต่างตอบแทน
เช่น
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๒๓/๒๕๒๕
จำเลยจะจัดสรรที่ดินและปลูกบ้านขาย จึงทำสัญญากับบริษัทโจทก์ว่า
โจทก์มีสิทธิเช้าควบคุมการก่อสร้างโดยจำเลยต้องจ่าย ค่าควบคุมงานปลูกบ้านหลังละ
๗๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ และโจทก์มีหน้าที่ต้องให้จำเลย
และผู้ซื้อบ้านพร้อมที่ดินจากจำเลยกู้ร้อยละ ๗๕ ของราคาที่ดินและบ้าน
ต่อมามีการผิดสัญญา โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ให้กู้ยืมไปแล้วคืน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า
โจทก์รับเงินค่าจ้างควบคุมงานไปแล้วไม่ยอมให้จำเลยและลูกค้ากู้เงิน
โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าตามกฎหมายไม่มีสัญญาจะให้ยืม
โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนกันเป็นพิเศษยิ่งกว่าสัญญากู้ยืมธรรมดา
เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมให้จำเลยและผู้ซื้อที่ดินกู้เงินโจทก์ตามข้อตกลง
โจทก์จึงต้องรับผิดใช้ ค่าเสียหายแก่จำเลย
ข้อสังเกต ศาลฎีกาไม่ได้วินิจฉัยให้ชัดว่าเป็นสัญญาจะให้ยืม
หรือไม่
และฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นการฟ้องให้ใช้ค่าเสียหายไม่ใช่การฟ้องแย้งให้ล่งมอบเงิน
ที่ตกลงกันว่าจะให้จำเลยกู้ยืม
อยู่ระหว่างถอดเทป+เน้นประเด็นแพ่ง-อาญา ครบทุกคาบ ทันก่อนสอบ* สมัยที่ 71
*** อัพเดท ข้อมูลเตรียมสอบเนติฯ ทันก่อนสอบ ดาวน์โหลด ที่ LawSiam.com ****
*** อัพเดท ข้อมูลเตรียมสอบเนติฯ ทันก่อนสอบ ดาวน์โหลด ที่ LawSiam.com ****